Sunday, February 22, 2009

Dress Up



เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมขี่จักรยานยนต์ไปรับกล่องพัสดุขนาดใหญ่จากที่ทำการไปรษณีย์ในเมืองด้วยความสงสัยว่าใครส่งอะไรมาให้หรือ? 

พอได้เห็นชื่อผู้ส่งบนกล่องพัสดุ ผมก็ถึงบางอ้อ รู้ว่า "อ่อ..คุณอ้อ นั่นเอง!!!"  เพิ่งมีโอกาสได้เปิดกล่องพัสดุออกดู สิ่งแรกที่ผมเห็นเป็นกล่องบรรจุซีดี ๒ แผ่นคือ Popular Classics และ For The Love Of Piano โห…เยี่ยมเลย ผมนำขึ้นไปเปิดให้ผู้ฟังที่สถานีวิทยุออนไลน์ของผมทันที  แม้ว่าจะมิได้ถูกบ่งบอกว่าเป็นของขวัญวันแห่งความรัก แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ผู้ให้ได้มอบให้ด้วยความรักและศรัทธาที่เรามีต่อกัน ผมรู้สึกดีใจและขอขอบพระคุณ

นอกจากซีดีซึ่งได้ใช้เป็นประโยชน์ทันที ผมรู้สึกตื่นเต้นไปกับเสื้อและกางเกงอีกหลายชุดที่บรรจุอยู่ในกล่อง!!!   ในชีวิตผม ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะเดินเข้าห้างฯ เพื่อเลือกซื้อเสื้อหรือกางเกงดี ๆ มี brand name เป็นที่คุ้นตา ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าถ้าได้สวมใส่เสื้อกางเกงพวกนั้นแล้วมันจะทำให้ดูดีไม่น้อย ผมใส่เสื้อกางเกงที่มีผู้ให้มาหรือไม่ก็ซื้อประเภทเเบกะพื้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ตอนไปช่วยสอนที่โรงเรียนในเมือง ผมใส่กางเกงตัวโปรดที่มีผู้ให้มาจนนักเรียนเห็นเป็นภาพชินตา บางครั้งครูก็โดนนักเรียนแซวเรื่องกางเกงที่ใส่ ผมยังเคยชี้ให้นักเรียนดูรอยปะ…ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ

ผมเคยเห็นอาจารย์ที่โรงเรียนฯ สวมกางเกงสีดำ ตัดเย็บด้วยผ้าอย่างดีพร้อมป้ายทองเล็ก ๆ บ่งบอกยี่ห้อดัง ผมก็ยังอดชื่นชมไม่ได้กับการแต่งกายของอาจารย์ท่านนั้น…. ดูดีจริง ๆ ครับ!!

ปีก่อนนู้น…นักเรียนซื้อของขวัญให้ชิ้นหนึ่ง เป็นเสื้อแขนสั้นลายสก็อตยี่ห้อ Hara เวลาหยิบขึ้นมาสวมใส่ผมยังเคยนึกในใจว่า "แพงนะเนี่ย"

เสื้อและกางเกงที่ผมเห็นในกล่องล้วนแต่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดี มียี่ห้อ และที่สำคัญคือขนาดตรงกับที่ผมสวมใส่พอดี ผมรู้สึกดีใจจริง ๆ ทีแรกก็ยังอึ้ง ๆ อยู่เพราะทุกชิ้นอยู่ในสภาพที่ผมเห็นแล้วคิดว่าเป็นของใหม่ ผมยิ้มออก…และดีใจยิ่งขึ้นเมื่อได้อ่านข้อความที่ผู้มอบบอกว่าเป็นเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว

อยู่ ๆ วันนึง… คนเคยเห็นผมบ่อย ๆ ต่างรู้สึกแปลกใจที่เห็นผมแต่งกายไม่เหมือนเดิม เจ้าของโรงเรียนถามว่าผมไปงานอะไรมาหรือ?  น้องเพชรนักเรียนเปียโนก็เอ่ยปากชมในเรื่อง dress up ตอนแว๊บไปสอนไวโอลินที่โรงเรียนธีรดาก็ได้รับคำชมจากนักเรียน พอกลับไปสอนน้องทรายและน้องต้าที่มีทองฯ ก็ยังไม่วายถูกชม!  ทุกคนชมชุดที่ผมสวมใส่…

ขอบคุณคุณอ้อมาก ๆ ครับ...

Saturday, February 21, 2009

Travellers Never Stop Dreaming...


ผมคิดถึงพี่อุดม คนที่นั่งอยู่ตรงกลาง ในบล็อกเก่า ๆ เคยเขียนไว้ว่า... 
...when seeing a picture of these 3 men, I wonder what are in their mind at that moment. After having a big meal in front of a beautiful wooden house of archan Prasit, the owner of Raiya Resort in Lampang, they moved to the open and sat near the campfire to enjoy chatting and drinking while being hugged by the bright moonlight and kissed by a puff of cold wind. Yes, they are in the same age. "Old" is a suitable word that I dare say! Khun Udom, the director of Special Education Center in Maehongson, is sitting in the middle and to the left of him is I-to San, a retired Japanese farmer who came down from Maehongson to spend such a wonderful night in Lampang........."
ผมได้พบกับพี่อุดมเพียงครั้งเดียวที่ไร่หญ้ารีสอร์ท จากการได้คุยกับชายผู้ซึ่งกำลังจะปลดเกษียณและมีโครงการที่จะใช้ชีวิตท่องเที่ยวผจญภัยในมหาวิทยาลัยชีวิต (ตามคำกล่าวของพี่อุดม) ผมได้สัมผัสในความรักและไมตรีจิตจากพี่อุดม เรามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่พบกันเพียงคืนเดียว ความรู้สึกผูกพันระหว่างผมกับพี่อุดมนั้นแนบแน่นคล้ายกับรู้จักกันมานานปี...

เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พี่อุดมได้โอนเงินจำนวน ๕ พันบาทเข้าบัญชีผม เพื่อสนับสนุนการแบกเป้ท่องเที่ยวไปลาว... ช่วงเดือนตุลาคม พยายามติดต่อพี่ชายที่แสนดีทางอีเมล์และหวังว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้ง ผมตั้งใจจะนำเงินจำนวน ๕ พันบาทนั้นคืนให้พี่อุดม ทั้ง ๆ ที่พี่อุดมบอกว่าให้แล้วให้เลย! ผมอยากสนับสนุนการท่องโลกของพี่อุดมเหมือนที่พี่สนับสนุนผมครับ...

ผมรอด้วยความหวังว่าพี่อุดมจะแวะมาลำปางก่อนออกเดินทางแบกเป้ตามที่ได้วางแผนไว ้ แต่ไม่มีโอกาสได้เจอ จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมส่งอีเมลติดต่อสอบถามอีกครั้งและได้รับคำตอบว่า "ผมมาอยู่ที่ลาว ออกจากไทยวันที่ ๑๔ มาเมืองปากเซ ตอนนี้นอนที่บนเกาะกลางแม่น้ำโขง แขวงจำปาสักด์ จากลาว ไปจีน คุนมิง เข้าเวียตนามและเขมร กลับไทยราว ปลายเดือน พฤษภาคม ๕๒ เดินทางบกลูกเดียว...." รู้สึกอิจฉาไม่น้อยสำหรับโอกาสที่พี่อุดมสามารถสานฝันของตนเอง ชีวิตบนเส้นทางยาวไกลของพี่อุดมคงจะตื่นเต้นและน่าประทับใจไม่น้อย ผมเอง...เมื่อได้อ่านเมลของพี่อุดม เลือดนักเดินทางร้อนระอุขึ้นมาทันที!!


ฤาว่าเดือนเมษายนนี้ผมจะได้แบกเป้อีกครั้งนึง...

Saturday, February 07, 2009

เนินชมจันทร์

ค่ำคืนวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขกับการเล่นดนตรีกับเพื่อนร่วมวงอีก ๓ คนที่ Jumka Chalet...



อาจารย์ติ่งขับรถปิคอัพ 4WD ไปรับผมที่หน้าบ้าน ตรงเวลาด้วยรอยยิ้มและ a helpin’ hand อันที่จริงเพียงแค่จอดรถรอให้ผมดึงประตูเหล็กหน้าบ้านลงปิดแล้วอุ้มหีบเพลงตัวใหญ่ไปที่รถก็ได้ แต่อาจารย์ติ่งกลับเปิดประตูลงมาช่วยหิ้วเจ้าหีบเพลงหนักอึ้งของผมไปให้ที่รถ จากนั้นเราก็ไปแวะรับอาจารย์ต้อมมือกีต้าร์…ก่อนที่จะมุ่งหน้าสู่จุดหมายซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางออกไปประมาณ ๒๗ กิโลเมตร

เป็นงานวันเกิดซึ่งเจ้าภาพต้องการเลี้ยงสังสรรค์ภายใต้บรรยากาศที่เป็นธรรมชาติและเสียงเพลงจากวงดนตรีเล็ก ๆ ของพวกเรา การใช้สถานที่ที่ Jumka Chalet จึงนับว่าเหมาะสมที่สุด  ผู้ร่วมงานมีเพียง ๒๐ กว่าคน…งานเลี้ยงที่สนามหญ้าเป็นไปอย่างชื่นมื่น


ขณะบรรเลงเพลง นอกจากจะอุ้มเจ้าหีบเพลงตัวใหญ่แล้ว ผมยังมีกล้อง Canon PowerShot S200 ตัวเล็กใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง บางครั้งผมก็จะละมือจากคีย์บอร์ดเพื่อนำมันออกมาเก็บภาพแห่งความทรงจำ อาจารย์ต้อมเป็นมือกีต้าร์ที่ผมชื่นชอบสไตล์การตีคอร์ดที่กระชับและหนักแน่น ผมก็รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงาน...


อาจารย์ติ่งลงทุนควักกระเป๋านำเงิน ๖,๐๐๐ บาทไปซื้อกีต้าร์เบส (โปร่ง)ไว้เป็นเครื่องมือสำหรับการบรรเลงแบบ serenade หรือเดินเล่นแบบ unplugged ไปตามโต๊ะ….

นักดนตรีเสร็จสิ้นการปฏิบัติหน้าที่เวลาประมาณ ๕ ทุ่ม อาจารย์ติ่งต้องพาผมและอาจารย์ต้อมไปส่งบ้าน…ระหว่างทางอาจารย์ติ่งบอกว่าอยากพาไปดูภาพเมืองลำปางจากเนินชมจันทร์ซึ่งอยู่ไม่ไกล สารถีหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายไปยังศาลากลางใหม่เมื่อถึงสี่แยกบนเส้นทางหลวงลำปาง-แพร่ เลี้ยวเข้าประตูใหญ่ที่ศาลากลาง มุ่งหน้าไปตามถนนลาดยางได้ครู่เดียวก็หยุดรถแล้วหักเลี้ยวขวา นำรถค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปตามเส้นทางที่ผมไม่อาจเรียกว่าเป็นทางรถยนต์ โห…สภาพของถนนที่ผมเห็นข้างหน้านั่น! คงมีเพียงรถ 4WD เท่านั้นจึงจะกล้าลุยขึ้นไป คนขับต้องใจถึงจริง ๆ


เจ้าของรถผู้นิยมการเที่ยวป่าด้วยรถยนต์บอกว่าชอบขึ้นไปที่นั่นเพื่อดูพระอาทิตย์ตกดิน พร้อมกับเบียร์หนึ่งกระป๋อง (และภรรยาคู่ใจ) นั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ ผมไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย เลือดนักผจญภัยร้อนระอุไปทั่วร่าง ในระหว่างที่รถค่อย ๆ ไต่ไปตามเส้นทางข้างหน้า มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่ผมนั่งเรือหางยาวจากท่าพระจันทร์ไปยังวัดนกในตอนกลางคืน ผมจะมองเห็นเพียงสายน้ำที่ซ่านกระเซ็นเมื่อหัวเรือพุ่งไป ที่นั่นในความมืดเราฝากชีวิตไว้ให้กับนายท้ายเรือเพียงอย่างเดียว แต่ที่นี่ภายใต้การควบคุมพวงมาลัยของอาจารย์ติ่ง ยิ่งโคลงไปเคลงมา ผมก็ยิ่งสนุก


ในที่สุดเราก็ขึ้นถึงเนินชมจันทร์….


จันทร์เจ้าขาห่างเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง  กล้องตัวเล็กของผมไม่สามารถจับภาพได้ชัดเจนไปกว่านี้แล้ว…


 ความมืดโอบกอดเราไว้ ขณะที่สายลมเย็นพัดมาทักทาย….



หลังจากตักตวงความสดชื่นจากเนินชมจันทร์ อาจารย์ติ่งก็พามาส่งที่บ้าน  ผมรู้สึกดีจังเลยกับสำหรับช่วงเวลาในคืนนี้!

Wednesday, February 04, 2009

When You Look Me In The Eyes

ผมมีนักเรียนเปียโนอยู่คนหนึ่ง ชื่อน้องน้ำฝน เรียนอยู่ชั้น ม.๖ ตอนนี้เอ็นท์ติด ม.ช.แล้ว อีกไม่นานก็จะก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย ก่อนไปอยู่เชียงใหม่...น้ำฝนอยากจะเรียนดนตรีเพิ่มเติม จึงได้ไปสมัครเรียนไวโอลินเเละเปียโนที่โรงเรียนมีทองเปียโน

ผมต้องสอนเปียโนอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะไม่สอนแล้ว กับน้องน้ำฝนมันไม่ได้เป็นการเรียนการสอนตามหลักสูตรโดยใช้ตำราเล่มใดเล่มหนึ่ง แต่นักเรียนอยากเล่นเพลงที่ตัวเองชอบและให้ผมช่วยสอน ครูวัยดึกอย่างผมก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องเพลงวัยซะรุ่นเสียด้วยซิ….

ภาพจาก starpulse.com
When You Look Me In The Eyes  - Jonas Brothers

If the heart is always searching,
Can you ever find a home?
I’ve been looking for that someone,
I’ll never make it on my own.
Dreams can’t take the place of loving you,
There’s gotta be a million reasons why it’s true

When you look me in the eyes,
And tell me that you love me.
Everything’s alright,
When you’re right here by my side.
When you look me in the eyes,
I catch a glimpse of heaven.
I find my paradise,
When you look me in the eyes.

How long will I be waiting,
To be with you again
Gonna tell you that I love you,
In the best way that I can.
I can’t take a day without you here,
You’re the light that makes my darkness disappear.

When you look me in the eyes,
And tell me that you love me.
Everything’s alright,
When you’re right here by my side.
When you look me in the eyes,
I catch a glimpse of heaven.
I find my paradise,
When you look me in the eyes.

More and more, I start to realize,
I can reach my tomorrow,
I can hold my head high,
And it’s all because you’re by my side.

When you look me in the eyes,
And tell me that you love me.
Everything’s alright,
When you’re right here by my side.
When I hold you in my arms
I know that it’s forever
I just gotta let you know
I never wanna let you go

Cause when you look me in the eyes.

And tell me that you love me.
Everything’s alright,
When you’re right here by my side.
When you look me in the eyes,
I catch a glimpse of heaven.
I find my paradise,
When you look me in the eyes.

โถ…ผมจะรู้จักได้ยังไง นักเรียนต้องไปหาโน้ตมาให้ผมก่อน จากนั้นผมจึงเปลี่ยนจาก key of D เป็น key of G (เพื่อให้เหมาะกับเสียงของผู้หญิง) พร้อมกับแก้ไขโน้ตมือซ้ายให้เล่นง่ายขึ้นด้วย บ่ายวันนี้ผมใช้โปรแกรม Sibelius 3 เขียนโน้ตและทำมิดี้ให้นักเรียนก่อนที่จะบึ่งรถไปสอน…เกือบไม่ทัน

สอนไป ๆ ผมรู้สึกว่าชักจะสนุกกับเพลงใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จักซะแล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ - เรื่องนี้เป็นบทความเก่าที่ได้ย้ายมาจากบล็อก wichai's space

Sunday, February 01, 2009

ปิดฉากนักเปียโนอาชีพ


ผมไปสอนไวโอลินที่โรงเรียนดนตรีมีทองเปียโนซึ่งอยู่หน้าโรงแรมทิพย์ช้าง ตรงทางเข้าโรงแรมเป็นจุดที่จอดรถม้า...


 หากมีเวลาผมชอบนั่งดูเจ้าอาชาที่ยืนสงบนิ่งอยู่ใกล้ ๆ... อยากรู้จังว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่?



อยากถามว่า "เจ้าพอใจอยู่กับชีวิตที่ผ่านไปวัน ๆ อย่างนี้หรือไม่ ?" 



แต่ละวันผมเห็นภาพชีวิตผูกพันเหมือนเส้นด้าย หมุนเวียนไปตามวัฏจักร มนุษย์รอวันสิ้นลม สรรพสิ่งรอวันเสื่อมสภาพ บางครั้งระหว่างที่รอนักเรียน ผมจะนั่งจับตามองความเคลื่อนไหวบนถนนท่าคราวน้อย ได้เห็นการสัญจรของผู้คน บ้างก็เร่งรีบร้อนรน บ้างก็สงบเยือกเย็น....


มีป้ายขนาดใหญ่โฆษณาห้องอาหารของโรงแรมทิพย์ช้าง ปรากฏรูปแกรนด์เปียโนหลังที่ผมเคยไปเล่น เจ้าป้ายนี้แหละที่ทำให้ผมไปสมัครเป็นนักเล่นเปียที่นั่น และได้ค่าแรง ๒,๔๐๐ บาทต่อการทำงานเกือบ ๑ เดือนเต็ม...


ผมขอประกาศเลิกการทำงานเป็นนักเปียโนอาชีพตั้งแต่บัดนี้  มีเพื่อน ๆ บางคนไม่อยากให้หยุด แต่ผมก็ตั้งใจมั่นแล้ว ต่อไปจะไม่มีใครเห็นผมเล่นเปียโนและร้องเพลงหากินอีก

จบกันทีสำหรับชีวิตการบรรเลงเปียโนที่ทำมาเกือบ ๓ ทศวรรษ...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ - เรื่องนี้เป็นบทความเก่าที่ได้ย้ายมาจากบล็อก wichai's space