Tuesday, June 29, 2010

ของฝากจากป้าโรส

วันนี้มีพัสดุไปรษณีย์มาถึงผม ข้างในบรรจุของฝากจากป้าโรสซึ่งอยู่ไกลถึงเมืองมะริกันโน่น...


ป้าโรสเป็นเพื่อนที่แสนดี คอยส่งกำลังใจและความชุ่มเย็นให้แก่จิตวิญญาณของผมเสมอ ในยามที่ผมต้องยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นลมที่รุนแรง ก็ได้รับคำอธิษฐานของป้าโรสจากอีกซีกหนึ่งของโลก ผมไม่สามารถบรรยายได้เป็นตัวอักษร แต่ตระหนักว่าแม้ตายไปแล้วก็คงไม่สามารถตอบแทนน้ำใจและความดีของป้าโรสได้หมดสิ้น

ตอนอยู่ออสเตรเลีย เจ้า Muesli คือสิ่งที่ผมโปรดปรานที่สุด มันช่วยให้ผมอยู่รอดมาได้  ชอบมาก ๆ ครับ....ทุกครั้งที่คิดถึง Muesli  ผมน้ำลายสอ!  แม้ทุกวันนี้อาหารเช้าของผมก็ยังต้องมีข้าวโอ๊ตกับนมถั่วเหลือง  และถ้าจะให้เคี้ยวหนึบ ๆ มันเขี้ยว ก็ต้องใส่ลูกเกด (Raisin) ลงไปด้วย  หรือบางครั้งที่มีกล้วยตาก ผมจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมเข้าไป ปกติแล้วผมก็ไม่ค่อยได้ซื้อ Muesli ที่วางขายตามห้างฯ มากิน เพราะมีความรู้สึกว่ามันแพงไปหน่อย...

สำหรับพัสดุกล่องนี้ เมื่อผมเปิดออกดู สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือ ถุงบรรจุผลไม้แห้งและลูกนัท....



มีถั่วอัลมอนด์ด้วย...


ขอขอบคุณป้าโรสอีกครั้งครับ…

Monday, June 28, 2010

ตำราไวโอลินที่อยากแนะนำ


ยังคงยุ่งกับงานและหน้าที่หลายอย่าง ผมจึงไม่มีสมาธิพอที่จะนั่งคุยกับเพื่อน ๆ ได้อย่างเป็นแก่นเป็นสาร... 

ปัญหาเกี่ยวกับพี่ชายซึ่งทำให้ผมต้องวุ่นวายใจอยู่อย่างต่อเนื่อง มันไม่เคยหยุดพักเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นอาการมวนท้องและปัสสาวะดำ ตอนนี้ก็เพิ่มอาการหูเป็นน้ำหนวกขึ้นมาอีก แถมพกด้วยอาการอ่อนเพลียเพราะกินข้าวไม่ค่อยได้  งั่มๆ… เย็นนี้ผมก็ต้องไปหาหมอ (แทนพี่ชาย) อีก

เกือบครบหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่พี่ชายของผมล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่สามารถลุกไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง ผมได้ทำหน้าที่ดูแลมาโดยตลอดโดยไม่มีคำว่า “take a day off”  ทุกวันนี้แม้ผมจะไม่ป่วยแต่ก็เหมือนป่วย จากวันเป็นเดือน…ที่ผมต้องไปพบแพทย์แทนพี่ชาย ให้ยา ให้ข้าวให้น้ำ เทกระโถน ปูที่นอน จนทำให้บางครั้งตัวเองลืมกินยาความดัน แถมยังไม่ได้ไปพบแพทย์ตามนัด  ร่างกายของผมเริ่มร่วงโรยลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้…  รวมถึงสุขภาพจิต!!!

โชคดีที่ยังมีเว็บนี้ ที่ผมสามารถผ่อนคลาย แบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาทำในสิ่งที่ตนเองรัก และคิดว่ามีประโยชน์ต่อสังคม

วันนี้ ผมมีหนังสือดีที่อยากแนะนำให้กับเพื่อนๆ อีกหนึ่งเล่ม มันเป็นหนังสือแบบเดียวกับที่ผมเคยฝันว่าก่อนตาย ผมอยากจะเขียนหนังสือในลักษณะเดียวกันนี้ทิ้งไว้

เพื่อนๆ ที่กำลังหัดเล่นไวโอลินต้องชอบแน่นอนครับ เพราะผู้เขียน Bridgette Seidel เป็นครูไวโอลินที่มีประสบการณ์ในการสอนไวโอลินให้กับเด็กๆ มากมาย เป็นการถ่ายทอดในสิ่งซึ่งอาจจะหาไม่ได้ในตำราไวโอลินทั่วๆ ไป ตำราพิมพ์สอดสี ด้วยภาพสวยๆ หนา ๒๐๐ หน้า เพื่อนๆ อาจจะหาดาวน์โหลดได้โดยไม่ยากตามเว็บมากมายหลายแห่งบนโลกอินเทอร์เน็ต แต่ถ้าไม่อยากไปค้นหาด้วยตนเอง ก็คลิกเพื่อดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ

ผมคงไม่พูดมากในรายละเอียด เพื่อน ๆ ต้องลองโหลดไปศึกษากันเอง แล้วจะรู้ว่าของดีจริง ๆ (อีกแล้ว)

Friday, June 25, 2010

ตำราวิโอล่า


วันนี้ห้องเก็บหนังสือลุงน้ำชาได้ตำราวิโอล่าของซูซูกิเพิ่มมาอีก ๓ เล่ม คือ เล่ม ๓, ๕ และ ๖ นอกจากนั้นก็ยังมีโน้ตเปียโนที่ใช้เล่นประกอบบทเพลงในตำราเล่ม ๔, ๕ และ ๖

พูดถึงเรื่องวิโอล่า ผมนำไปใช้สอนวงเครื่องสายที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี ก็รู้สึกว่าสะดวกดี เพราะสามารถสาธิตหรือเล่นร่วมกับกลุ่มไวโอลิน วิโอล่า และเชลโล่ได้โดยใช้วิโอล่าเพียงตัวเดียว กล่าวคือเวลาเล่นกับไวโอลินก็เปลี่ยนไปเล่น position 4 แต่ถ้าไปเล่นกับเชลโล่ก็อ่าน F Clef และแก้ไขในเรื่องการบอกนิ้วให้กับนักเรียน (บางตำแหน่งวิโอล่าใช้นิ้ว ๓ แต่เชลโล่ใช้นิ้ว ๔)

ทุกวันนี้ยังหาคนเล่นวิโอล่าได้ยาก ที่โรงเรียนลำปางกัลยาณีมีผู้เล่นวิโอล่าเพียงสองคน และทั้งสองคนก็มีสรีระที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมซักเท่าไร คือ แขนสั้นเกินไปสำหรับเครื่องขนาด ๔/๔

สำหรับตัวเอง ผมตั้งใจว่าจะหาเวลาสำหรับการซ้อมวิโอล่าให้ได้  คิดว่ามันน่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่เหมาะสำหรับผม  แต่ก็รู้สึกแย่ เพราะผมยังคงย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าเลยแม้แต่น้อย….

การได้ตำรามาอีกหลายเล่มทำให้อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่ามันยากขนาดไหน….

Thursday, June 24, 2010

ไปหาหมอที่สถานีอนามัย

ไปหาหมอที่สถานีอนามัยบ้านแม่กืยเลยวันนัดไปหนึ่งสัปดาห์เพราะผมลืมเสียสนิท ไปถึงสถานีอนามัยประมาณ ๗ โมงกว่า…รู้สึกแปลกใจที่ยังไม่มีคน!


ผมไม่ได้เป็นข้าราชการ พนักงานบริษัทหรือลูกจ้าง ซึ่งทางรัฐหรือหน่วยงานประกันสังคมจะคอยดูแลในเรื่องค่ารักษาพยาบาล เท่าที่มีอยู่ผมก็ได้อาศัยบัตรทอง ๓๐ บาทรักษาทุกโรค เป็นใบเบิกทางในการรักษาตัว ผมต้องกินยาควบคุมความดันโลหิตมิให้สูงเกิน…

ต่อมาเค้าบอกว่าบริจาคเลือดมา ๕๐ กว่าครั้ง สามารถรับการรักษาพยาบาลฟรีโดยการใช้บัตรผู้บริจาคโลหิต นอกจากนั้นยังสามารถตรวจเลือดได้อีกปีละ ๒ ครั้งโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย นับเป็นอานิสงค์ที่ได้รับโดยไม่คาดคิด ซึ่งต้องขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้…


หลายปีที่ผ่านมา ผมไปรับการรักษาจากสถานีอนามัย แรก ๆ ก็ร้องยี้และคิดว่าสถานีอนามัยจะตรวจรักษาได้ดีเหมือนโรงพยาบาลรึ?  พอเอาเข้าจริงผมกลับได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อนัดเจาะเลือด ผมไปเจาะตามนัด เค้าก็จะส่งเลือดไปตรวจให้ฟรี อาทิตย์ต่อมาค่อยไปฟังผลและรับยา คุณหมอที่สถานีอนามัยก็ใจดี ไม่ว่าจะเป็นหมอเล็กหมอใหญ่…

มันทำให้ผมอดคิดถึงเด็ก ๆ ในบังคลาเทศที่เคยได้ไปเห็น ที่นั่นบริการด้านสาธารณสุขของเค้าช่างต่างกับของไทยเราเสียจริง!  บ้านเรามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือ หยุกยา และเจ้าหน้าที่แสนดี


ด้วยเครื่องมือวัดระบบดิจิตอลที่อ่านผลได้ละเอียดทั้งค่าความดันโลหิตตัวบนตัวล่าง และอัตราการเต้นของหัวใจ ผมดีใจที่เห็นว่าทุกอย่างยังคงอยู่ในระดับปกติ ถ้าจะมีที่น่าเป็นห่วงก็เห็นจะเป็นน้ำหนักตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ ๔ กิโลกรัมเห็นจะได้

ผมได้ยาตัวเดิมคือ Enalapril Maleate 20 mg และ Amlodipine 10 mg มากินต่ออีก ๓ เดือน

คุณหมอเขียนใบนัดให้แล้วบอกผมว่า “ถ้าลืม (อีก) ก็ไม่เป็นไร”

Thursday, June 17, 2010

ตำราเปียโน


มีเรื่องคุยมากมายหลายเรื่อง แต่ผมเหนื่อยเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมสมองจึงได้ล้าไปหมด  ถึงอย่างไรผมก็ยังไปไหว ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาใดก็ตาม…

วันนี้ผมนำตำราเปียโนใหม่อีก ๓ เล่มขึ้นเก็บไว้บนห้องเก็บหนังสือลุงน้ำชา สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาตำราเปียโนไว้ใช้สอนลูกหลานหรือเด็กนักเรียนทั่วไป เป็นตำราที่เคยเป็นที่นิยมในอดีต เพื่อน ๆ คงเคยได้ยินชื่อ John Thompson ใช่ไหมครับ?  เมื่อ ๔๐-๕๐ ปีก่อน ไปที่ไหนก็เห็นแต่คนใช้ตำราของ Thompson แต่ทุกวันนี้ผมไปที่ไหนก็เห็นแต่ตำราของ Alfred!

คิดว่ามีตำราหลายเล่มก็ดีเหมือนกัน เรียนควบกันไปเลย ผมจึงได้นำ John Thompson’s Modern Course For The Piano เล่ม ๑-๓ ขึ้นเก็บไว้ที่ห้องเก็บหนังสือลุงน้ำชา เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ดาวน์โหลดไปใช้กัน…

ผมยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะดำเนินการเรื่องกุญแจไขเข้าห้องเก็บหนังสือได้อย่างไร ครั้นจะไม่มีเลยก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง เอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่ต้องใช้กุญแจก็แล้วกันครับ…

Wednesday, June 16, 2010

ผมคิดอะไรเมื่อสิบปีที่แล้ว…

ช่างเป็นการบังเอิญเหลือเกินที่ผมเห็นเศษกระดาษชิ้นหนึ่งตกอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ กับกองสัมภารกซึ่งอยู่ใต้โต๊ะแล้วหยิบขึ้นดู...


มันเป็นข้อความที่ผมเขียนไว้เมื่อปลายปี ค.ศ. 1999 แล้วสั่งพิมพ์ลงบนกระดาษแบบต่อเนื่องด้วยเครื่องพิมพ์ประเภท dot matrix ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเครื่องไหน (เคยมีเครื่องพิมพ์ใช้มากมายหลายตัวเหลือเกิน)  พี่จันทร์สมเคยบอกว่าผมเป็นคนบ้าสมบัติ ฮา เห็นจะจริง  ทั้งเครื่องพิมพ์ดีด (typewriter) และเครื่องพิมพ์ (printer) ผมคิดว่ารวมแล้วมันน่าจะเกือบยี่สิบตัวเห็นจะได้  หมดเงินไปหลายหมื่นแล้วจ้า

ข้อความที่ปรากฏบนกระดาษชิ้นดังกล่าวมีเพียงแค่ ๗-๘ บรรทัดเพราะส่วนที่มีต่อนั้นพิมพ์ไม่ติด น่าเสียดายที่มันบอกไม่ได้ทั้งหมดว่าตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่ เท่าที่อ่านได้มีแต่เพียงว่า…
When I start counting down
ใกล้ปี ค.ศ. 2000… มีคนบอกว่าโลกกำลังจะแตก สงครามกำลังจะเกิด และอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าอย่างงั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลยดีไหมล่ะ ขอนอนรอความตายลูกเดียว? คิดถึงคุณชวลิตกับคุณเพ็ญประภา เขาเพิ่งจะเริ่มงานที่บ้านใหม่ที่ซื้อไปจากเราได้แค่ 8 เดือนเอง แล้วจะทำอย่างไรกับหนี้สินที่ทำไว้กับทางธนาคารทหารไทย หรือรอให้เกิดน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำท่วมโลกเสียก่อน เอกสารทั้งสัญญากู้และโฉนดอาจจะถูกเผาและถูกทำลายไปสิ้น คิดอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว  ตึก HW ที่เราซื้อไว้ล่ะ มันจะต้องฟังไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ใช้งานเลยหรือนี่..."

"เอกสารชิ้นนี้บอกอะไรผมบ้าง?"   มันแสดงให้เห็นว่าเวลานั้นผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊ปเดียวก็ครบหนึ่งทศวรรษ!  แปลกจังที่เมื่อสิบปีก่อน ผมก็เริ่มคิดถึงชีวิตที่ก้าวเดินสู่ความตายแล้ว คงเป็นเพราะการจากไปของแม่ปราณี และชีวิตที่มองไม่เห็นหนทางเดินที่ชัดเจนของผมในช่วงนั้นด้วยกระมัง  ตอนนั้นพระเจ้าก็ยังไม่ได้ประทานดวงตาที่ดีกลับคืนมาให้ผม…

แต่วันนี้ผมมีดวงตาที่มองเห็นได้ดี ถ้าถามว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่? ก็คงต้องคุยกันอีกนาน

Tuesday, June 15, 2010

คิดถึงน้องเดียร์

น้องเดียร์เรียนไวโอลินกับผมมาได้ปีกว่าแล้ว ตอนเริ่มเรียนน้องเดียร์ใช้ไวโอลิน ๑/๔ สีน้ำเงิน ทุกวันนี้ใช้ขนาด ๑/๒...


ผมคิดว่าคงอีกนานกว่าน้องเดียร์จะได้เปลี่ยนไปใช้ไวโอลินขนาด ๓/๔ เพราะตัวของนักเรียนค่อนข้างเล็ก ต่างกับน้องบีมซึ่งผมไปสอนที่บ้านได้สามครั้งแล้ว น้องบีมเรียนอยู่ชั้น ป.๔ แต่ตัวโตกว่าน้องเดียร์ซึ่งอยู่ชั้น ป.๕ ผมต้องนำไวโอลินขนาด ๓/๔ ของผมไปให้น้องบีมใช้แทนไวโอลินสีชมพูขนาด ๑/๔ ที่มีอยู่ ปกติแล้ว…ทุกๆ วันเสาร์เวลา ๕ โมงเย็นถึง ๖ โมง ผมต้องไปสอนน้องเดียร์ที่โรงเรียนดนตรีมีทองเปียโน ถนนท่าคราวน้อย แต่ช่วง ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมาน้องเดียร์ไม่สามารถไปเรียนได้ ผมคิดถึงน้องเดียร์เมื่อได้เห็นรูปเก่า ๆ ของน้องเดียร์ที่เคยถ่ายไว้ อย่างเช่นบานนี้…

จะเห็นได้ว่าน้องเดียร์ใช้โบว์ได้เต็มเนื้อที่ เวลาสีขึ้นลงก็ขนานกับหย่อง แถมยังหนีบไวโอลินได้ด้วย ตัวไวโอลินก็ขนานกับพื้น เป็นที่น่าพอใจสำหรับผม ยิ่งกว่านั้นน้องเดียร์ยังตั้งสายได้เอง เสียงตรง! ผมไม่ต้องเสียเวลาให้กับการตั้งสายของนักเรียนอีกต่อไป!


เมื่อเริ่มสอน ผมพยายามเข้มงวดในเรื่องท่าทางของนักเรียน อย่างเช่น การวางนิ้วบน finger board หรือ ตำแหน่งแขนและข้อมือ น้องเดียร์เป็นตัวอย่างที่ดีครับ ผมคงต้องให้เครดิตเจ้าเครื่องวัดข้อมือตัวนี้ด้วย…


รวมถึงน้องชายที่ชื่อว่า “โดโด้”  ผู้ช่วยสอนของผม


โดโด้ร้องเพลงได้ถูกคีย์ เคยเปล่งประกายความสามารถด้านดนตรีให้ผมได้เห็นหลายครั้ง ถ้าไม่ตายเสียก่อน…ในอนาคตผมคงได้เห็นความสำเร็จของพี่น้องที่น่ารักคู่นี้แน่นอน!


น้องเดียร์เคยบอกว่าอยากเป็นครูสอนเปียโน  ถ้าไม่รวมน้องบีมซึ่งเพิ่งเริ่มเรียน น้องเดียร์นับเป็นนักเรียนไวโอลินคนเดียวของผมที่ยังไม่ยอมแพ้…

Saturday, June 12, 2010

ตั้งสายเปียโน

วันนี้ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงทีเดียวในการท่องไปในโลกของอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าและหาข้อมูลเกี่ยวกับ“การซ่อมและตั้งสายเปียโน” ทำให้ได้อะไร ๆ หลายอย่างที่จะนำมาประเมินชีวิตตัวเองในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่ตอนที่ไว้ผมทรงสี่เต่าทอง (อาจารย์อำนาจที่วิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพเรียกผมว่า “ไอ้หมาจู”) จนกระทั่งผมขาวจนเกือบทั้งหัว...

ผมเริ่มหัดตั้งสายเปียโนเมื่อปี ๑๗ ประมาณนั้น  เรื่องราวมีอยู่ว่า ผมได้ซื้อเปียโนยี่ห้อ Robinson ขนาด ๘๕ คีย์มาหัดเล่น จากนั้นก็ยกไปตั้งที่ห้องอาหารวาสนา โรงแรมแสงทวี ที่ผมได้ไปเช่าทำ  พอเปียโนเสียงเพี้ยน ผมก็ขอ “ครูพันธ์” ซึ่งเป็นนักเปียโนวงธนาคารออมสินให้ช่วยตั้งเสียงให้ ครูพันธ์ก็ใจดียิ่งนักกรุณาไปตั้งสายให้ ทำให้ผมมีโอกาสได้เฝ้าดูการตั้งสายของครูตั้งแต่เริ่มลงมือจนแล้วเสร็จ นับได้ว่าท่านเป็นครูคนแรกที่สอนให้ผมเล่นและตั้งสายเปียโน…

ผมจำไม่ได้แล้วว่าครูคิดค่าตั้งสายเปียโนเท่าไร แต่สิ่งที่ท่านได้มอบให้ในวันนั้นคือ ค้อนจูนเปียโนซึ่งท่านสั่งทำใช้เอง และที่สำคัญยิ่งก็คือการสอนให้ผมรู้จักการตั้งสายเปียโนด้วยตนเอง  หลังจากนั้นผมก็เริ่มศึกษาและทดลองกับเปียโนของตนเอง จนกระทั่งได้เข้าไปเรียนดนตรีที่ดุริยศิลป์ วิทยาลัยพายัพ ทำให้ได้เห็นและสัมผัสกับเปียโนอีกหลายตัว ผมเริ่มออกรับงานตั้งสายเปียโนตั้งแต่ปี ๑๙


เคยไปตั้งเปียโนให้กับเปียโนที่อยู่ใกล้เล้าไก่  เปียโนที่ บลูมูนไนท์คลับ  และอีกหลายแห่งด้วยกัน  การเดินบนถนนสายช่างซ่อมเปียโนของผมไม่ได้ราบรื่น  มันก็พอๆ กับอาชีพนักเล่นเปียโนที่ทำให้ชีวิตต้องระหกระเหินไปอย่างไม่มั่นคง  ผมวางมือจากการซ่อมเปียโนไปนานมาก นานจนยางดับเสียง (mute) เสื่อมสภาพ และเครื่องไม้เครื่องมือหายไปหลายชิ้น  เมื่อผมตัดสินใจกลับมาจับค้อนจูนอีกครั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมมี mute ที่ใช้ได้อยู่เพียงชิ้นเดียว!

เมื่อตั้งใจจะกลับไปจับค้อนตั้งสายเปียโน ผมก็อยากที่จะเพิ่มเนื้อหาในเว็บของผมด้วยเรื่องของ piano tuning  แต่ไม่ใช่ในฐานะของ Piano Technician หรือผู้เชียวชาญใดๆ ทั้งสิ้น  เพราะตระหนักดีว่าผมเป็นแค่เพียงตาแก่ที่ชื่นชอบงาน DIY และเคยได้ลองปฏิบัติงานซ่อมเปียโนมาบ้างแล้วเท่านั้นเอง…

ผมกำลังคิดที่จะหาซื้อเปียโนเก่า ๆ มาซ่อม อยากมีความสุขกับเปียโนเก่าที่รายล้อมอยู่รอบข้าง แต่ฝันนั้นคงไม่เป็นจริง ถ้าผมหมกตัวอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ ดังนั้นวันนี้ผมจึงได้เริ่มออกค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต และได้ไปเจอแหล่งที่จะสั่งซื้ออะไหล่เปียโนได้ทางอินเทอร์เน็ต คือ www.pianosupply.com/ ซึ่งจะมีทุกอย่างที่เราสามารถนำมาชุบชีวิตเปียโนเก่า ๆ ได้ อยากให้เพื่อนๆ ที่สนใจในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ดำหรือคุณเมธี ได้ดาวน์โหลด catalog สีขนาด ๑๔๙ หน้ามาลองศึกษาดู

ได้อ่านที่ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งกล่าวว่างานตั้งสายเปียโนของท่านมีประมาณ ๖๐ หลังต่อเดือน พูดง่ายๆ ก็คือประมาณวันละ ๓ หลัง

โห…ตั้งสายเปียโนได้วันละครึ่งหมื่นเชียว!  

Friday, June 11, 2010

ความรู้สึกของคนใกล้บ้า

ต้องสอนคาบแรกที่โรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์ พอให้อาหารเช้าพี่ชายเสร็จ ผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเดินทางไปเกาะคา!

เช้านี้พี่ชายไม่ได้ให้ความร่วมมือในการลุกขึ้นกินอาหารที่จัดให้ ผมจึงพกความเครียดไปทำงานด้วย ส่งเสียงร้องไปตามทางเพื่อปลดปล่อยโดยไม่รู้สึกตัว พอไปเจอนักเรียนชั้น ม.๓ คุยกันในชั่วโมงก็ระเบิดอารมณ์ใส่...ผมคงจะบ้าไปแล้วมั้ง?

ตอนเที่ยงครึ่ง ไปสอนเครื่องสายที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี ผมพร้อมที่จะสอนก่อนเวลาเสียด้วยซ้ำ แต่นักเรียนยังไม่พร้อมที่จะเรียน ผมต้องรออีกแล้ว ก่อนเริ่มสอนผมบอกว่าเค้าจ้างให้สอน ๒ ชั่วโมง แต่ผมจะอยู่สอนจากเที่ยงถึงสี่โมง หมายความว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งกันเลยทีเดียว!  แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถอยู่เรียนและฝึกซ้อมได้จนถึงสี่โมง ผมก็เลยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถยืนสอนและพูด ๔ ชั่วโมงติดต่อกันได้โดยไม่มีการพัก!  ไม่เป็นไร...พอหมดคนเรียน ผมก็ขี่จักรยานยนต์ไปโรงพยาบาลศูนย์ฯ เพื่อบริจาคโลหิต…

ที่ห้องรับบริจาคโลหิต เป็นปกติที่ผมต้องยื่นนิ้วนางมือขวาให้เจ้าหน้าที่เจาะเพื่อตรวจความเข้มข้นของเลือด ก่อนกรอกเอกสารใด ๆ  เลือดจมครับ! สมบูรณ์เต็มร้อย ผมพร้อมที่จะบริจาคเลือด (บ้า) ของผม…

หลังจากบริจาคเลือด ก็ขึ้นไปชั้น ๘ เพื่อเยี่ยมแม่พร คุณแม่ของอาจารย์ราเชนทร์ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่นั่น  กลับเข้าบ้านเวลาประมาณ ๖ โมงเย็นเห็นจะได้

วันนี้ผมคิดถึงแม่ปราณีมาก ๆ 

Thursday, June 10, 2010

วันไหว้ครู

วันพฤหัสบดีเป็นวันครู  จำได้ว่าผมเริ่มเรียน Sitar และ Tabla กับ Guru ที่กรุงพาราณสีก็เป็นวันพฤหัสเช่นกัน  คิดแล้วก็อยากจะเล่าเรื่องที่เกิดเมื่อกว่า ๒๐ ปีที่แล้วในวัดฮินดู ใกล้ๆ กับแม่น้ำคงคาซึ่งเป็นภาพที่เหลืออยู่ในความทรงจำ ผมไม่แน่ใจว่าผมจะมีโอกาสได้นำมันกลับมาฉายอีกหรือไม่ ด้วยว่าสมองผมเริ่มเสื่อมลงอย่างมากในช่วง ๒-๓ ปีที่ผ่านมา

วันนี้ที่โรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์มี “พิธีไหว้ครู” ผมสอบถามคุณครูที่นั่นมาแล้ว ได้ความว่าไม่มีการเรียนการสอนในช่วงเช้า เช้านี้ผมจึงไม่ไปทำงานที่โรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์…

ต้องยอมรับว่าผมเป็น “ครู” เพราะผมมีหน้าที่ในการสอน แต่เป็นครูที่ไม่เคยมีใครไหว้ (ตามพิธีกรรม) มาก่อน  คงเป็นด้วยเหตุผลว่าผมไม่เคยมีตำแหน่งในโรงเรียนหลวงหรือโรงเรียนราษฎร์ใด ๆ เป็นแค่ “ครูอัตราจ้าง” หรือ “ครูพิเศษ” ที่ผ่านมาจึงไม่มีโอกาสได้นั่งร่วมในพิธีไหว้ครูในสถาบันใด ๆ ทั้งสิ้น


มาถึงวันนี้ผมไปสอนแทนพี่ชายซึ่งเป็นครูที่ได้รับการบรรจุ ถ้าผมไปที่โรงเรียน คงมีโอกาสได้เข้าร่วมพิธี ซึ่งจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะเป็นครูผู้ถูกไหว้... พอดีผมไม่ได้ไป  นักเรียนบางคนอาจจะมองหา “ลุงน้ำชา” ในวันนี้  และอาจจะรู้สึกผิดหวังที่ไม่เห็นผมที่นั่น  ไม่เป็นไรนะ...เราก็เห็นกันอยู่แล้วในความรู้สึกและผูกพันที่ฝังลึกในจิตใจระหว่างครูกับนักเรียน

อยากจะให้ทุก ๆ คนเป็นเด็กดี มีความรู้  จะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ไม่สำคัญหรอก…

Wednesday, June 09, 2010

ยังมีหวัง…

เช้าวันนี้ผมจัดอาหารเช้าให้พี่ชายตามปกติ สิ่งแรกที่ผมให้พี่ชายคือ “น้ำผลไม้” คำพูดที่จะใช้บ่อย ๆ คือ “เอ้า…ล้างลำไส้ก่อน” พร้อมกับยื่นแก้วน้ำผลไม้ให้พี่ชายดื่มด้วยหลอดดูด  แล้วกลืนลงคอเสียงดัง "อึก ๆ”  เมื่อใกล้หมดผมก็จะบอกว่า “เอาให้ดังป้อดเลย"  พี่ชายผมก็จะดูดน้ำผลไม้จนหมดแก้วเสียงดังป้อดดดดดด...

จากนั้นผมก็จะทิ้งช่วงหน่อยนึง ให้พี่ชายได้ลุกขึ้นนั่งกินอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้ให้บนโต๊ะกลมเล็ก ๆ ที่สามารถดึงเข้าชิดขอบเตียงได้ รายการอาหารก็ไม่มีอะไรมาก แค่เพียงข้าวโอ้ตใส่นมถั่วเหลือง ขนมปังโฮลวีท ๑ คู่ และกาแฟเย็น ๑ แก้ว  ส่วนใหญ่ก็จะกินเหลือ กินหก คล้ายกับเด็กที่ถูกพ่อแม่เอาใจจนไม่เห็นคุณค่าของอาหารที่เหลือคาถ้วยคาชาม แต่กรณีพี่ชายผมนั้นคงเป็นเพราะการสั่งงานของสมองมากกว่า

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมพาพี่ชายไปหาหมอที่คลีนิกบ้านฟ่อน  พี่ชายยังเดินไม่ได้ แม้แต่จะเหยียดขาตรงเพื่อรับน้ำหนักตัวเองก็ทำไม่ได้ ผมต้องประคองปีก ยกและอุ้มเดินไปขึ้นรถ ลงรถ เดินไปนั่งรอคุณหมอได้ที่ม้ายาว...


คุณหมอให้ยาตัวเดิม และให้ความหวังว่าพี่ชายของผมจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี…

เย็นวันอังคาร คุณน้อย (แม่น้องเดียร์) ก็กรุณามาเยี่ยมถึงบ้านพร้อมกับขนมจีบและซาลาเปา สิ่งที่วิเศษสุดที่คุณน้อยได้นำมาให้คือ “กำลังใจ” ซึ่งทำให้พี่ชายผมเกิดความหวังที่จะอยู่อย่างไม่ไร้ค่า แม้ว่าตัวเองจะเดินไม่ได้ก็ตาม…

ขอกราบขอบคุณคุณน้อยและผู้ที่ห่วงใยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

Tuesday, June 08, 2010

It’s not that hard!

หนูนางเป็นหนึ่งในจำนวนนักเรียนเปียโนซึ่งมีอยู่สามคนของผม ทุก ๆ วันอังคารเวลา ๑๗.๓๐ น. ผมจะต้องไปสอนหนูนางถึงที่บ้านซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงแรมเวียงทอง  บ่อยครั้งที่ผมลืม!! พอถึงวันพุธก็นึกขึ้นได้ว่าวันวานลืมไปสอน บางครั้งเกิดฝนฟ้าคะนอง...ผมก็ไปสอนไม่ได้ ทำให้บางเดือนหนูนางได้เรียนเพียง ๒ ครั้ง


ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะผมอยากให้นักเรียนได้เรียนแบบสบาย ๆ จะได้มีเวลาสำหรับฝึกซ้อมมาก ๆ แต่ในความเป็นจริงหนูนางก็ไม่ค่อยได้ซ้อม  ดีหน่อยที่วันนึงหนูนางเปิดเพลงจากใน Youtube ให้ฟังแล้วบอกว่าอยากเล่น ผมจึงได้ขอให้จดชื่อเพลงให้ เพื่อที่จะได้ค้นหาโน้ตเพลงให้ทางอินเทอร์เน็ต

เพลงนั้นชื่อ Kimi to Boku, Todokanu Omoi เป็นเพลงประกอบในภาพยนต์การ์ตูนญี่ปุ่นซีรี่ส์กันดั้ม เพลงเพราะครับ โชคดีที่ผมสามารถค้นหาโน้ตเพลงให้ได้ ติดว่าต่อไปนักเรียนคงขยันซ้อมยิ่งกว่าเดิม...

วันนี้ผมทำมิดี้ และพิมพ์โน้ตขึ้นใหม่โดยใช้โปรแกรม Sibelius



จากนั้นก็สแกนโน้ตเพลงที่พิมพ์ออกมาให้  เล่นไม่ยากครับเพลงนี้!!!

Monday, June 07, 2010

ซื้อ Harmonica ไปแจกเด็ก…

เมื่อวานนี้มีโอกาสไปเยือนโรงเรียนดนตรีของครูหน่อย ผมซื้อกล่องใส่ไวโอลินขนาด ๑/๒ กลับมาด้วย...


ขณะนี้ผมมีไวโอลินขนาดเล็กไว้ให้เด็กได้ใช้เรียนรวม ๒ ตัวแล้ว....


เป็นไวโอลินเก่าของโรงเรียนดนตรีสยามกลการ เชียงใหม่ ที่นำออกโล๊ะขายที่ศูนย์การค้ากาดสวนแก้ว ตอนนั้นผมเลิกงานแล้วเดินลงไปเจอเข้าพอดี เลยซื้อไว้ในราคา ๑,๐๐๐ บาท


Chin Rest ทำด้วยไม้ด้วยนะ…


ตั้งแต่เรียนชั้นประถมที่โรงเรียนประสาทวิทยาอนุชน จังหวัดธนบุรี จนถึงชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนมงฟอร์ต จังหวัดเชียงใหม่ ผมไม่เคยได้รู้จักดนตรีคลาสสิกแม้แต่น้อย นอกจากเห็นน้าชายสีไวโอลินอยู่ที่บ้านสวนอำเภอภาษีเจริญ ผมพยายามคิดย้อนกลับไปดูว่าวิชาดนตรีในสมัยนั้นมีหลักสูตรที่สอนให้รู้กว้างอย่างเช่นในปัจจุบันหรือไม่ นึกไม่ออกจริง ๆ ครับ รู้แต่ว่าผมชอบเล่นกีต้าร์ และวงดนตรีวงโปรดของผมก็มีเพียง The Shadows และ The Ventures เท่านั้น…

สมัยเป็นวัยรุ่น ผมไม่ได้เรียนดนตรีจากโรงเรียนไหนเลย ต้องศึกษาเอง ผิดบ้างถูกบ้าง โดยอาศัยหนังสือเพลงซึ่งมีจำหน่ายในยุคนั้น อย่างเช่น I.S.Song Hits, Current Song Hits หรือหนังสือโน้ตเพลงเล่มเล็กๆ ที่พิมพ์จากฮ่องกง มันช่างแตกต่างกับสมัยนี้เสียจริงๆ  ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากสอนเด็กๆ โดยเฉพาะชั้นอนุบาลและประถมต้น ให้ได้รู้จักกับเครื่องดนตรีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมเคยนำเชลโล่ไปให้เด็ก ป.๒ ดู และจำภาพที่เจ้าตัวน้อยเข้าไปนอนในกล่องเชลโล่ของผมได้ เด็กเหล่านั้นได้รู้จักไวโอลินและมีโอกาสได้ลองสีกันทุกคน

ผมไม่มีเงินถุงเงินถัง ได้แต่คิดว่าถ้ามีตังค์สักเศษเสี้ยวของอดีตนายกทักษิณ ผมจะซื้อไวโอลินขนาด ๑/๒ ไปให้เด็ก ๆ ได้เล่นกัน ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำได้ก็คือ  เจียดเงินที่ได้มาจากการสอนไปซื้อฮาร์โมนิก้าแจกเด็ก ๆ ที่สนใจอยากหัดเล่น...


วันนี้ขอแค่ ๕ ตัวก่อนนะ…

Sunday, June 06, 2010

มีของดีมาฝาก

นานนับปีที่ผมพยายามค้นหาไฟล์วิดีทัศน์เกี่ยวกับการสอนไวโอลินจากอินเทอร์เน็ต แล้วนำขึ้นเก็บไว้ในหมวด Instructional Media บนห้องเก็บหนังสือลุงน้ำชา ผมจะแบ่งและแปลงไฟล์ให้เป็น MP4 เพื่อเพื่อนๆ จะได้ดาวน์โหลดไปเก็บไว้ศึกษา โดยใช้เครื่องเล่น MP4, iPod, PDA, โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่อง PC ที่บ้าน

ไม่นานมานี้อาจารย์ติ่ง (เพื่อนร่วมวงดนตรี) ได้แจ้งให้ทราบว่า ท่านมีวิดีท้ศน์การสอนของ Suzuki และอยากให้ผมนำมาใช้เป็นประโยชน์  ผมก็กำลังจะติดต่ออาจารย์ติ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งไฟล์เหล่านั้น ซึ่งเมื่อได้มาแล้ว ผมก็จะนำขึ้นเว็บให้เพื่อนๆ ได้โหลดไปศึกษาอย่างแน่นอน

แต่สำหรับวันนี้ ผมมีไฟล์วิดีทัศน์ซึ่งหามาได้โดยไม่คาดฝันมาฝาก นั่นคือ วิดีทัศน์สอนไวโอลินโดย Yehudi Menuhin ซึ่งผมได้อัพโหลดขึ้นไว้ให้เพื่อนๆ ได้นำไปศึกษากันแล้ว…

Yehudi Menuhin คือนักไวโอลินในดวงใจของผม เช่นเดียวกับ Ritcher นักเปียโน  ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าจะมีบันทึกการสอนของ Menuhin ที่ละเอียดและชัดเจนเช่นนี้ให้ได้ดาวน์โหลด ดูแล้วเหมือนกับว่าเราได้ไปเรียนร่วมกับเด็กนักเรียนที่นั่น ในชั้นเรียนที่มีนักไวโอลินเอกเป็นผู้สอน!!!  โดยไม่ต้องจ่ายตังค์แม้แต่บาทเดียว!


สุดยอดจริงๆ ครับ….

Saturday, June 05, 2010

Homemade Yogurt

เช้านี้ผมคิดถึง Yogurt จังเลย!   ที่เป็นแบบข้น ๆ  ไม่ใช่นมเปรี้ยวแบบพร้อมดื่มอย่างที่มีขายเป็นกล่องในบ้านเรานะ  นึกถึงตอนใช้ช้อนตักเข้าปากแล้วกลืนลงคอ อั่มม… ผมอดน้ำลายไหลไม่ได้!


สมัยที่ผมไปเตะฝุ่นอยู่ในออสเตรเลีย มันราคาแค่ลิตรละ ๓ เหรียญกว่าเอง!!! (ตอนนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเหรียญละ ๑๘ บาทโดยประมาณ)  นับว่า Yogurt ที่นั่นถูกมาก ๆ ผมอยากให้โยเกิร์ตที่บ้านเราราคาถูกเหมือนกัน…

เคยกินที่อินเดีย โยเกิร์ตของแขกมันข้นจัดจนคล้ายเนย มีกลิ่นแปลก ๆ ด้วย แต่ผมก็ชอบ ทุกวันนี้ ผมทำนมเปรี้ยวกินเอง ประหยัดดี แถมมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าที่ขายตามท้องตลาดเสียอีก ผมไม่รู้หรอกว่ากรรมวิธีที่เค้าผลิตออกจำหน่ายโดยทั่ว ๆ ไปเค้าทำกันอย่างไร และสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไม yogurt ของแขกจึงมีรสชาติและกลิ่นเช่นนั้น


ผมทำนมเปรี้ยวโดยใช้บัวหิมะ (Snow Lotus) ซึ่งมีผู้เมตตาให้มา ได้ยินชื่อ “บัวหิมะ” บางคนอาจนึกถึงหนังกำลังภายในที่พระเอกลุยเข้าไปในถ้ำเพื่อค้นหาแล้วต่อสู้แย่งชิงกัน คงเป็นคนละตัวกับที่ผมใช้ทำนมเปรี้ยวอยู่ทุกวันนี้

ไม่ยากเลย….แค่เลี้ยงบัวหิมะด้วยนมธรรมดาที่ซื้อมาจากห้างฯ  อาจารย์ธวัช ทะพิงค์แก แห่งศูนย์พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อชนบทได้เขียนไว้ว่า...
“บัวหิมะ (Snow Lotus) เป็นกลุ่มของจุลินทรีย์พวก แบคทีเรีย อยู่รวมกับยิสต์ เป็นเมล็ดคล้ายสาคูที่ประกอบด้วยแคซีนและเจ็ลที่เป็นผลผลิตของจุลินทรีย์ ถ้าเพาะเลี้ยงบัวหิมะใน นม น้ำเต้าหู้ หรือน้ำมะพร้าว ก็จะได้ผลิตภัณฑ์คล้ายนมเปรี้ยวหรือโยเกิต ซึ่งอุดมด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะวิตามินส์ และกรดอินทรีย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกรดอะมิโนและกรดไขมันที่จำเป็น นอกจากนี้กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีในบัวหิมะและผลิตภัณฑ์ยังสามารถควบคุม จุลินทรีย์ อื่น ๆ ที่ปนเปื้อนได้ด้วย มีรายงานในกลุ่มผู้มีปัญหากับยิสต์ฉวยโอกาส (Candida-Related Complex CRC or Yeast Syndome จากยีสต์ Candida albicans) โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะ ผู้ติดเชื้อเอดส์ และผู้เป็นมะเร็งหลายรายมีอาการดีขึ้นหลังกินบัวหิมะ มีการศึกษาที่พบว่าบัวหิมะสามารถกระตุ้นให้เซลล์ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรค ต่าง ๆ ได้สูงขึ้น และยังควบคุมการเจริญของเนื้องอกได้ ในสมัยเจงกิสข่าน เวลาออกรบ จะมีถุงที่ทำจากกระเพาะปัสสาวะของอูฐ บรรจุนมและบัวหิมะ ติดหลังม้าไปเป็นเสบียง ใช้เป็นอาหารหลักในช่วงทำการรบ
ผู้เขียนได้ รับบัวหิมะจากคุณลุงประสิทธิ์ ประภัสรานนทร์ สมาชิกของศูนย์พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อชนบทมาเมื่อประมาณกลาง เดือนมี นาคม ๒๕๔๗ บัวหิมะที่ได้รับมาเป็นเมล็ดกลมสีขาวคล้ายเมล็ดสาคู เพาะเลี้ยงในน้ำนม ในแก้วน้ำ มีผ้าขาวบางปิด พร้อมกับคำแนะนำว่าให้ใช้ผ้าขาวบางที่ปิดปากแก้วน้ำกรองแยกนมออกจากบัวหิมะ นมที่ได้ดื่มเหมือนนมเปรี้ยว ส่วนบัวหิมะที่ติดอยู่กับผ้ากรอง ให้ล้างด้วยน้ำสะอาด ๕-๖ ครั้งแล้วนำบัวหิมะกลับไปใส่แก้วน้ำกับนมจืดเพื่อเพาะเลี้ยงต่อไป วัดถัดไป หรือ ๒๔ ชั่วโมง ให้ทำซ้ำอีกและทำต่อเนื่องไป ๒๐ วันจะได้บัวหิมะเพิ่มเป็น ๒ เท่า ซึ่งควรจะแจกจ่ายส่วนที่เพิ่มให้คนอื่นต่อไป ส่วนที่เหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น ๑๐ วัน แล้วเริ่มต้นมาเพาะเลี้ยงและบริโภคใหม่อีกทุกวัน ต่อเนื่องไปอีก ๒๐ วัน แล้วหยุดเพาะและบริโภค โดยเก็บไว้ในตู้เย็น ๑๐ วัน และทำต่อเนื่องไปเรื่อย กล่าวกันว่าทำให้สุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย และมีอายุยืนยาวขึ้น
หลังจากได้รับบัวหิมะมาทำการเพาะเลี้ยงและบริโภคดู พบว่านอกเหนือจากนมจืดแล้ว นมหวาน นมรสผลไม้ น้ำเต้าหู้ และน้ำมะพร้าวก็สามารถใช้เพาะเลี้ยงบัวหิมะได้ และไม่มีความจำเป็นในการล้างบัวหิมะ และระยะเวลาในการเพาะเลี้ยงก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็น ๒๔ ชั่วโมง จะสั้นหรือยาวกว่านี้ เป็นหลาย ๆ วันก็ได้ นมเปรี้ยวที่ได้จากบัวหิมะทำให้ระบบทางเดินอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น มีผลทางด้านอารมณ์ และการหลับนอนดีขึ้น นอกจากนี้ลองนำไปใช้กับพืชผล พบว่ามีผลเป็นอีลิซิเตอร์ ช่วยทำให้พืชทนทานต่อโรคและแมลง และส่งเสริมการเจริญเติบโต จากการตรวจสอบจากห้องปฏิบัติการ พบว่าจุลินทรีย์ที่พบในบัวหิมะ ส่วนใหญ่จะเป็นแบคทีเรียพวกที่ผลิตกรดนม (Lactobacillus caucasicus, Lactobacillus casei, Strptococcus cremoris, Streptococcus diacelilacis, Streptococcud lactis, Leuconnostoc cremoris) และยีสต์ (Saccaromyces kefir, Torula kefir) Leuconnostoc cremoris ผลิตกรดนม, น้ำส้มสายชู, acetyl-methyl carbinol diacetyl สาร ๒ ตัวที่เป็นกลิ่นของบัวหิมะ…..”

เพื่อสุขภาพที่ดี ผมอยากให้เพื่อน ๆ ได้ดื่มนมเปรี้ยวกันเป็นประจำ อ่อ…นอกจากนั้นพหูสูตรประจำเว็บบอร์ดลุงน้ำชาท่านหนึ่งยังได้ให้ความรู้เรื่องโยเกิร์ตไว้อีกด้วยว่า
“…..พยายามนึกอยู่ว่า มีสมัยนึงนิยมเลี้ยงวุ้นอะไรสักอย่างทำนองนี้ เพียงแต่เป็นเม็ดผสมยีสต์กับเชื้ออะซิโตแบคเตอร์ เขาเลี้ยงด้วยน้ำมะพร้าว ยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลเป็นอัลกอฮอล์ เชื้ออะซิโตฯเปลี่ยนอัลกอฮอล์เป็นน้ำส้มสายชู
มีอีกวิธีทำโฮมโยเกิร์ตครับ ใช้โยเกิร์ตถ้วยผสมลงในน้ำนม เติมน้ำตาลเล็กน้อย แล้วเอากาละมังครอบ นำไปวางตากแดด หนึ่งแดด เคยทำสมัยเรียนหนังสือ ถ้าอยากให้เปรี้ยวแหลมก็อย่าเพิ่งกิน เอาเก็บไว้ในตู้เย็น 1-2 วัน แต่โดยวิธีนี้ต่อเชื้อไม่ได้ ทำได้แค่ขยายจากหนึ่งถ้วยเป็นหลายๆถ้วย โปรตีนในน้ำนมจะตกตะกอนเวลาเป็นกรด เลยได้เป็นถ้วยข้นๆ ไม่เหมือน drinking ซึ่งหากเทออกมาดูจะเห็นเป็นเพียงน้ำใสๆ เพราะมีโปรตีนต่ำ กินแบบข้นๆจึงดีกว่าคับ หากจะพอกหน้าก็ดีคับ เพราะกรดแลคติกจัดอยู่ในกลุ่ม ไฮดรอกซีแอซิด เขาผสมเครื่องสำอางค์เร่งการผลัดของเซลหนังกำพร้า ทำให้หน้าขาวเนียนครับ ดังนั้น หากลุงน้ำชาต้องการให้ฟิตด้วย แถมหน้าขาวด้วย ก็ใช้คู่กันได้เลยคับ อิอิ
มะอยากบอกลุงน้ำชาเลยว่า โยเกิร์ตที่เรารับประทานกัน เชื้อแลคโตแบซิลัสบางสายพันธ์ได้มาจากช่องคลอดฮับ ซึ่งเป็นเชื้อธรรมชาติที่พบได้ตามผิวหนัง ช่องคลอด ลำไส้ เชื้อจะสร้างกรดอ่อนๆ เขาไม่แนะนำให้ผู้หญิงล้างตรงนั้นด้วยสบู่ เพราะจะไปล้างเชื้อธรรมชาติออกไป กรดอ่อนๆจะกันเชื้ออื่นๆไม่ให้เติบโต หากไม่มีเชื้อแลคโตฯอยู่ เชื้อโรคอื่นจะเจริญแทน ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงหลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์เลยมีอาการตกขาว….”
ถ้ายังงั้นเราหันมาทำโยเกิร์ตกินเองดีกว่า...

Wednesday, June 02, 2010

มาฝึกซ่อมเปียโนกันดีกว่า

การที่มีนักเรียนอยู่ ๕ คน (เปียโน ๓ ไวโอลิน ๒) ทำให้ผมมีรายได้ประมาณเดือนละ ๓ พันกว่าบาท แต่ค่าใช้จ่ายของผมเพียงค่าอินเทอร์เน็ตและค่าไฟฟ้ารวมกันก็ตกสองพันกว่าบาทเข้าไปแล้ว ผมจึงอยากจะมีเงินเพิ่มอีกซักนิด เพื่อนำไปซื้อวัสดุอุปกรณ์บางอย่างสำหรับงานอดิเรกของผม

งานซ่อมและตั้งสายเปียโนก็เป็นงานสุจริตชิ้นหนึ่งที่จะทำให้ผมมีรายได้เพิ่มขึ้น สำหรับซื้อสี ซื้อตะปู แผ่นซีดีเปล่า หรือบางสิ่งบางอย่างที่จำเป็น นานมาแล้วที่ผมเคยคิดจะกลับไปรับตั้งสายเป๊ยโนอีกครั้ง  พอดีเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ป้อมได้ขับรถพาเจ้าของเปียโนมารับผมไปดูเปียโนที่บ้าน ที่นั่นผมได้เห็นเปียโนหลังงาม ได้เห็นเด็กหญิงซึ่งมีความสุขกับการเล่นเปียโนและไวโอลิน กล่าวได้ว่าบรรยากาศในวันนั้นได้ทำให้ผมสัมผัสกับความรู้สึกดี ๆ ที่ได้จากเสียงดนตรีอีกครั้ง  ผมได้รับปากที่จะไปตั้งสายเปียโนให้  แต่ก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานหลายสัปดาห์

จนในที่สุด ผมก็ก้าวข้ามสิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ได้สำเร็จ! เช้าวันหนึ่ง…ผมตัดสินใจรวบรวมเครื่องไม้เครื่องมือลงกล่อง (แม้ว่าจะหาได้ไม่ครบก็ตาม) แล้วโทรไปนัดเจ้าของเปียโน  วันนั้นผมใช้เวลาตั้งแต่ ๑๐ โมงเช้าจนถึง ๔ โมงเย็นกับงานที่ผมรัก มันอาจจะดูนานเกินไปสักหน่อยสำหรับการตั้งสายเปียโนเพียงหลังเดียว จริงๆ แล้วไม่ได้รีบเร่งแม้แต่น้อย ผมคุยให้นักเรียนฟังในระหว่างการทำงาน สาธิตให้เห็นการฟังคลื่นเสียงที่มีความถี่เท่ากันหรือไม่เท่ากัน ผมสอนทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง นอกจากตั้งสายแล้ว…ผมยังทำความสะอาด ดูดฝุ่น และขัดเงาเปียโนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ผมหลงใหล

ต้องขอขอบคุณเจ้าบ้านสำหรับอาหารมื้อกลางวันที่เอร็ดอร่อย  รวมถึงอาจารย์ป้อมซึ่งแวะไปทำให้บรรยากาศแห่งความเป็นกันเองเพิ่มขึ้น  เสร็จงานแล้ว…ผมยังได้ฟังเสียงเปียโนและไวโอลินเพราะ ๆ จากเด็กนักเรียนที่น่ารัก

จากเงินค่าแรงที่ได้มา ๑ พันบาท ผมนำไปซื้อสีน้ำมันได้อีกตั้ง ๓ กระป๋อง….

มันทำให้ผมเกิดความคิดที่จะเพิ่มเนื้อหาของเว็บ ด้วยเรื่อง “การซ่อมและตั้งสายเปียโนแบบมือสมัครเล่น” ขึ้นมา! เพื่อน ๆ ที่สนใจในเรื่องนี้ ให้ไปดาวน์โหลดตำรามาเก็บไว้ได้ก่อน  รีบหน่อยนะ…ก่อนที่ลิงค์นี้จะใช้การไม่ได้  http://www.4shared.com/document/ApLSb0K_/Arthur_A_Reblitz_-_Piano_servi.htm


ผมกลับไปจับค้อนจูนเปียโนอีกแล้ว…