Saturday, July 31, 2010

ก้าวต่อไป...

วันนี้ผมไม่ต้องออกไปสอนน้องบีมและน้องปัน ๆ...


อยากจะใช้เวลาในการปรับปรุงบล็อคให้ดูดีขึ้น  สิ่งแรกที่เปลี่ยน คือ theme ทำให้ได้ตัวอักษรใหญ่และอ่านง่ายกว่าเดิม และที่นับว่าเป็นการพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่งคือ การนำวิดีโอมาเพิ่มโดยใช้ plugins ตัวใหม่ ต้องทดสอบดูก่อนนะครับว่า ความเร็วในการดาวน์โหลดจะแตกต่างกับใช้บริการของ YouTube มากน้อยแค่ไหน  แต่ที่แน่ ๆ คือ มันทำให้ผมอยากได้กล้องวิดีโอซักตัว เพื่อใช้ถ่ายเหตุการณ์ต่าง ๆ รวมทั้งภาพประกอบในบทเรียนที่กำลังจะนำขึ้น...

ผมคงต้องอดทนเล่นหีบเพลงไปอีกซักระยะนึง เพื่อรวบรวมทุนซื้อกล้องซึ่งคิดว่าจำเป็นสำหรับการเดินก้าวต่อไป...

ไม่ปิดกั้น

ทุกวันนี้เวลาที่ผมเห็นเด็กนักเรียนชั้นประถมวาดรูปหรือเขียนอะไรยึกยือลงในสมุดงาน ผมไม่เคยตำหนิ ประโยคที่ชอบพูดก็คือ ”เก่ง! อีกหน่อยจะเป็นนักวาดมีชื่อ”...

ไม่เคยปิดกั้นการแสดงออกของเด็ก ผมมีอะไรหลายอย่างที่แตกต่างกับครูคนอื่น คงเป็นเพราะผมไม่ได้เป็นครูโดยอาชีพก็ว่าได้ การสอนนักเรียนประถมก็เพิ่งมีประสบการณ์เมื่อต้องทำงานแทนพี่ชายที่โรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์นี่เอง ถ้าเป็นสมัยก่อนคงจะถูกตราหน้าว่า “เป็นคอม” เพราะมีความคิดแผลง ๆ ไม่เหมือนใคร ผมไม่ทำตามกติกาที่องค์กรถือปฏิบัติมาจนเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกต้อง”


เห็นนักเรียนเขียนกระดานผมก็จะไม่ห้าม นักเรียนนั่งเสมอก็ไม่บอกให้นั่งที่พื้น อย่างเนี้ยผมทำผิดกฎของทางโรงเรียนใช่หรือเปล่า? เหตุนี้กระมังที่ทำให้ชั้นเรียนที่ครูน้ำชาเข้าสอนมีเสียงดัง บางครั้งมีภาพไม่เหมาะสม เช่น เด็ก ๆ แย่งกันถือกระเป๋าของผม เดินตามเป็นลูกกระพวน ผมกลายเป็น “ป่าป๊าหรือเพื่อนเล่น” ของนักเรียนไปซะแล้ว!  ไม่เป็นไร...อีกไม่กี่เดือนก็พ้นหน้าที่ “คนสอน” แล้ว คงไม่มีใครมาตำหนิผมได้!

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่สมัยเรียนหนังสือชอบวาดรูปหรือเขียนอะไรต่อมิอะไรลงในสมุด โตแล้วก็ยังคงติดนิสัยเดิม ช่วงเรียนดนตรีที่พายัพ เวลาเรียนวิชา Basic Music ผมใช้สมุดบันทึกอย่างที่เห็นในภาพจดสิ่งที่อาจารย์ Bruce Gaston สอน ถ้าจำไม่ผิดสมุดบันทึกราคาเล่มละ ๓ บาท..



ไม่ใช่คนวาดรูปเก่ง แต่ผมชอบวาด มันทำให้สมุดบันทึกของผมมีแต่เส้นยึกยือ เหมือนที่เด็กชั้นประถมเขียนลงในสมุดของเขา...


อยากให้เด็ก ๆ ได้คิดได้เขียนและได้แสดงออก นักเรียนจะวาดหรือเขียนอะไรลงสมุดผมก็ไม่ว่า ไม่ปิดกั้นครับ!

Friday, July 30, 2010

เจออีกแล้ว!

ถ้าอยู่ ๆ ผมบอกว่า “เจออีกแล้ว!” เพื่อน ๆ อาจตีความต่างกันไป น้ำหนักจะไปทางลบหรือบวกก็บอกได้ยาก เพราะไม่ได้ยินน้ำเสียงหรือเห็นสีหน้าและท่าทางของผม ถ้าผมเพิ่งขี่จักรยานยนต์เข้าบ้านแล้วทำหัวสั่นหัวคลอนก็อาจเข้าใจได้ว่าไปเจอด่านหัวปิงปองหรือไม่ก็ยางรถรั่วอีก

เมื่อวันที่ ๒๑ ที่ผ่านมา ที่ผมเขียนเล่าว่า
“….เจ้าน้ำหมึก Canon สีดำขวดใหญ่ขนาดครึ่งลิตรที่ได้พยายามค้นหามานานราว ๓ ปี ทำยังไงก็ไม่เจอสักที จนผมสงสัยว่าสสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลกจริงหรือ แล้วทำไมเจ้าหมึกขวดใหญ่มันถึงได้หายไปได้!! แต่ในที่สุดผมก็เจอจนได้! มันวางอยู่บนชั้น ข้างหน้าผมนี่เอง เพียงแต่หลบอยู่หลังกล่อง Router ที่ผมเอื้อมมือไปปิดเปิดสวิชอยู่เป็นประจำ จริง ๆ แล้วผมหมดหวังไปตั้งนาน ไม่คิดว่าจะได้เจอ จู่ ๆ มันก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ”
อย่างนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี ผมยิ้มได้อย่างมีความสุข มันทำให้สามารถพิมพ์ตำราออกมาได้อีกหลายเล่ม ทั้งแบบฝึกหัดแบนโจ แมนโดลิน เปียโน รวมทั้งโน้ตเพลงสำหรับวงเครื่องสาย!

คืนที่ผ่านมาผมไปเล่นหีบเพลงและร้องเพลงที่ Home of Cowboy ตามปกติ ทางร้านเปลี่ยนเวลาเริ่มบรรเลงใหม่ จากทุ่มตรงเป็นสองทุ่มสิบห้า ฝนตกหนักในช่วงหัวค่ำ ผมแต่งตัวแล้วนั่งคิดว่าที่ร้านคงไม่มีแขก กำลังจะตัดสินใจไม่ไปก็พอดีฝนหยุด เว้นช่วงให้ผมได้บึ่งจักรยานยนต์ไปที่ร้านโดยต้องไม่เปียกฝน  เลิกงานเกือบห้าทุ่ม ผมหอบ accordion ขี่รถกลับบ้าน กลับมาทำงานหน้าคอมพ์ฯ จนถึงตีสอง เช้านี้หลังจากให้อาหารและเทกระโถนให้พี่ชาย ผมก็เติมพลังให้ตัวเองด้วยน้ำข้าวกล้องงอก ๓ ถุง กินยาความดันแล้วลงมือทำงานเอกสารต่อทันที

ผมเคยบอกท่านผู้พันมือไวโอลินว่าในสมองของผมมีแต่คิด ๆๆ เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำงานออนไลน์อยู่ตลอดเวลา จะหยุดก็ต่อเมื่อปิดเครื่อง นั่นคือเวลาที่ต้องหลับพักผ่อน โชคดีที่ผมเป็นคนหลับง่าย ไม่เคยมีปัญหาเรื้อรังเรื่องนอนไม่หลับ จึงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ทรุดโทรมเท่าใดนัก…

อ้าว… ยังไม่ได้เล่าเลยว่าเช้านี้ผมเจออะไร!  เป็นเรื่องของเว็บบอร์ดครับ ในช่วงที่ผมทำเว็บ wichai.net ใหม่ ๆ ก่อนหน้าที่จะไปสร้างบอร์ดคนรักเปียโนอยู่ที่ pantown  มีเว็บบอร์ดใช้อยู่ ๒ ตัว ตัวหนึ่งใช้บริการของ http://board.dserver.org ส่วนอีกตัวนึงผมจำไม่ได้  ต่อมาเมื่อบอร์ดคนรักเปียโนเติบใหญ่ขึ้น ผมดันทิ้งเว็บบอร์ดที่เคยมีทั้งสองตัวไป ขลุกอยู่กับบอร์ดคนรักเปียโนมาโดยตลอด...ผมลืมบอร์ดที่ใช้กับเว็บ wichai.net ในช่วงก่อตั้งเสียสนิท

แต่แล้ววันหนึ่งบอร์ด piano-lovers และ pianoshop ก็ถูกลบออกจากบัญชีของ pantown...

หลังจากแก้ไขเรื่องเว็บโดนแฮ็กจนสามารถนำ wichai.net กลับเข้าสู่โลกไซเบอร์ได้อีกครั้ง ผมเริ่มมองหาเว็บบอร์ดที่จะมาทำบอร์ด “คุยกับลุงน้ำชา” จริง ๆ แล้วผมสามารถติดตั้งเว็บบอร์ดบน serverได้โดยใช้ SMF (Simple Machines Forum) แต่ก็เคยประสบปัญหาเกี่ยวกับสมาชิกที่ไม่หวังดีได้นำขยะเข้ามาโพสต์จนดูแลไม่ไหว ครั้งล่าสุดที่โดนแฮ็คก็เริ่มมาจากบอร์ด SMF นี้แหละ ผมจึงไม่นำบอร์ด “คุยกะลุงน้ำชา” ขึ้นไว้ที่หน้าเว็บ wichai.net

เคยเมล์ติดต่อ pantown เพื่อขอใช้เว็บบอร์ดอีกครั้ง แต่ก็เงียบ ไม่มีคำตอบ ผมจึงใช้ WordPress สื่อสารกับเพื่อน ๆ ในลักษณะการเขียนบล็อก ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่าน่าจะมีเว็บบอร์ดอีกตัวหนึ่งที่เพื่อน ๆ สามารถตั้งกระทู้พูดคุยได้เหมือนบอร์ด “คุยกะลุงน้ำชา” เช้านี้ในขณะที่ผมพยายามค้นหาโน้ตเพลงเพื่อจะนำไปใช้ที่โรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์ ผมก็ไปเจอเข้ากับ เปียโนเว็บบอร์ดอายุเกือบ ๑๐ ปีของผม ทำให้ผมต้องร้องออกมาดัง ๆ ในใจว่า “เจออีกแล้ว!”  

เกือบ ๑๐ ปี!  เหลือเชื่อจริงๆ ว่ามันยังคงอยู่โดยมีผู้ใช้มาตลอด ทั้ง ๆ ที่เจ้าของบอร์ดได้ละทิ้งและลืมไปนานแล้ว  ต้องขอขอบคุณทีมงาน dserver.org ที่ยังคงให้บริการมาอย่างยาวนาน

ผมไม่ต้องคิดหา “คุยกะลุงน้ำชา” ตัวใหม่แล้วครับ...

Thursday, July 29, 2010

Blue Moon Of Kentucky

เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมไปเล่น accordion ที่ร้าน Home of Cowboy ตามปกติ หลังจากที่ได้หยุดไป ๒ วัน ก่อนจะออกบ้านฝนทำท่าจะเทลงมา ผมอดเป็นห่วงเจ้าหีบเพลงของผมไม่ได้ ถ้าเปียกฝน มันต้องพังแน่ ๆ  นับว่าโชคดีที่ระหว่างทางจากบ้านไปถึงร้าน เทวดาเห็นใจไม่เปิดก๊อกปล่อยฝนลงมา ยังประวิงเวลาให้ท่านผู้พัน (มือ fiddle) แวะไปกินข้าว พูดคุย และร่วมแจม ก่อนที่จะปล่อยฝนลงมาราวกับฟ้ารั่ว...

การที่มีมือ fiddle ที่รู้ใจมาร่วมบรรเลงด้วย ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ เสียดายว่าผมเพิ่งร้องเพลงได้ไม่กี่เพลง ท่านก็ต้องขอตัวกลับไปเสียก่อน…

ก่อนหน้านั้น ที่โต๊ะอาหารเราได้คุยกันถึงเรื่องเพลงในแนว bluegrass และเพลงหนึ่งซึ่งท่านผู้พันกล่าวถึงคือเพลง Blue Moon Of Kentucky ท่านบอกว่าคนเล่น bluegrass ต้องรู้จักเพลงนี้  ผมเห็นด้วยนะ เวลาออกงานกับคุณปิว เพลงนี้มักจะมาก่อนโดยคุณปิวเป็นผู้ร้องนำ ส่วนผมเพียงแค่ช่วยประสาน เมื่อมาเล่นกับวงคุณเหลา ยังหาคนร้องไม่ได้  ผมจึงต้องต่อเพลงนี้เพื่อร้องที่ Home of Cowboy ให้ได้


วันนี้ผมไปโรงเรียนเพ็ญจิตตพงษ์ ประมาณบ่ายโมงก็ออกจากที่นั่น แวะไปซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานให้พี่ชายก่อนกลับบ้าน หลังจากให้อาหารกลางวันพี่ชาย ผมรู้สึกมึนศีรษะและอ่อนเพลียเล็กน้อย อยากจะงีบสัก ๒-๓ ชั่วโมง แต่ยังคิดถึงเรื่องต่อเพลง Blue Moon Of Kentucky...

ผมดาวน์โหลดได้ไฟล์ MP3 เพลง Blue Moon Of Kentucky ซึ่งร้องโดยศิลปินหลายท่าน อาทิ  Bill Monroe ซึ่งเป็นต้นตำรับ, Patsy Cline, Floyd Cramer, Raul Seixas, Paul McCartney, Elvis Presley, Jerry Lee Lewis, Floyd Crame, Dwight Yoakam, Paul Staines, Hakin’ Arrows  แต่ละคนมีสไตล์การร้องที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ที่เลียนแบบกันอย่างเห็นได้ชัดก็มี ในที่สุดผมก็เลือกที่จะศึกษาแนวการร้องเพลงนี้จาก Patsy Cline ดังที่ได้นำมาแปะไว้ข้างบนให้เพื่อน ๆ ได้ลองฟังกันดู

ผมร้อง Blue Moon Of Kentucky ได้แล้วกั๊บ!!

Wednesday, July 28, 2010

ไปพบจิตแพทย์…

วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามืด ให้อาหารพี่ชายแล้วรีบบึ่งมอเตอร์ไซค์ไปโรงพยาบาลศูนย์ฯ เพื่อพบจิตแพทย์ตามนัด ต้องไปให้ถึงที่นั่นก่อน ๗ โมงเช้า พี่สิทธิ์ไม่รู้หรอกว่าผมไปพบจิตแพทย์และรับยาแทนมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นปี ๆ แล้ว...


ผมไปถึงเป็นคนที่ ๕ แต่ได้รับบัตรคิวหมายเลข ๗ เพราะมีบางคนไม่ยอมเข้าคิว...

เรื่องการเข้าคิวก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งผมสงสัยว่าเด็กนักเรียนถูกสอนมาอย่างไรตั้งแต่อยู่ชั้นประถม ทำไมถึงไม่ค่อยมีระเบียบวินัย เด็กชายไม่รู้จักหลีกให้เด็กหญิง เวลามีอะไรไปแจกก็ยื่นมือสลอน...

เห็นเค้าพูดกันว่าตอนอยู่อนุบาลนักเรียนมักถูกสอนให้แข่งขันกัน ในภาพยนต์ฝรั่งผมเคยเห็นที่เค้าฝึกเด็ก ๆ ให้เดินเรียงแถวลงหลุมหลบภัยหรือออกจากอาคารในขณะเกิดภัย เค้าฝึกกันจริง ๆ จัง ๆ และถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่ของพี่ไทยเรากลับไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องความปลอดภัยและระเบียบวินัย เราจึงเห็นการแซงคิวหรือการขี่รถผ่าไฟแดงอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่...ต่างปฏิบัติกันจนเป็นเรื่องปกติ!

บ่นมาก ๆ อย่างเนี้ย สงสัยผมคงต้องปรึกษาจิตแพทย์ซะแล้วมั้ง??

Tuesday, July 27, 2010

Jazz Piano

เที่ยงคืนกว่าแล้วยังไม่เข้านอน!  ตายังสว่างอยู่ ผมนั่งพิมพ์ตำราออกมาอีกเรื่อย ๆ คืนนี้กะว่าจะให้ได้ซัก ๗ เล่ม...

วันเกิดทักษิณผ่านไปแล้ว เมื่อวานนี้ผมไม่ได้เขียนอะไรเกี่ยวกับเพื่อนเก่าคนนี้  ปีที่แล้วผมเขียนไว้นะ แต่จะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่ข้อเขียนต้องถูกลบทิ้งไปเมื่อมีการจัดไฟล์ที่อยู่บน server ใหม่  ก็ดีเหมือนกันเพราะผมไม่ค่อยสงบปาก คิดอย่างไรก็เขียนอย่างนั้น  ใครที่ได้อ่านแล้วอาจคิดว่า ผมเป็นผู้ที่ไม่รู้คุณคน ตอนเป็นเด็กทักษิณดีกับผมจะตาย ทำไมผมถึงไม่เชียร์และยืนอยู่ข้างสหายเก่า! ความคิดเราต่างกันครับ และความพอเพียงของเราก็ไม่เท่ากันด้วย แต่ในส่วนของความดีที่ทักษิณมีให้ผมก็ยังคงอยู่ในใจของผมเสมอ...

ปี พ.ศ.๒๕๑๐ ขณะเรียนอยู่ปี ๑ แผนกช่างไฟฟ้า วิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ กำลังเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม อยากเท่ห์ ผมหากิจกรรมที่จะสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง อย่างเช่น เล่นดนตรี เป็นช่างไฟ ควบคุมเสียง

วันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม...ผมบันทึกว่า..
“ตอนเช้าทำความสะอาดบ้านนอก แล้วไปขอยืม amp ที่ทักษิณ เวลาบ่ายไปติดตั้งและคุมเครื่องให้อำนวย กลำพัดเพื่อแสดงในตอนกลางคืน ที่งานฤดูหนาว….”


ตอนนั้นทักษิณพักอยู่บนชั้นสองของโรงภาพยนต์ชินทัศนีย์ ที่ผมเขียนว่า “บ้านนอก” หมายถึง “ร้านกาแฟไทยประเสริฐ” ข้างลาน ร.ส.พ. ตรงข้ามกับโรงแรมรถไฟ เป็นบ้านไม้ชั้นเดียวติดถนนที่พ่อแม่เช่าเปิดร้านกาแฟ สร้างฐานะจนมีตังค์พอซื้อที่ดินและปลูกบ้านของตนเองอยู่ที่ถนนทุ่งโฮเต็ล ถึงอย่างไรครอบครัวของผมกับของทักษิณก็มีฐานะแตกต่างกัน คุณพ่อของทักษิณเป็นเศรษฐีมีชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ ทักษิณจึงมีเครื่องดนตรีหลายชิ้นเก็บไว้ในห้องนอนทั้ง ๆ ที่เล่นไม่เป็น เท่าที่จำได้ก็มี กีต้าร์ Fender พร้อมตู้แอมป์ มีเบส Hofner และแซ็กโซโฟน Selmer


ห้องนอนทักษิณขนาดใหญ่ มีเครื่องปรับอากาศ window type ติดตั้งที่หน้าต่าง และมี  heater สำหรับให้ความอุ่นในหน้าหนาว นั่นคือภาพที่ผมพอจำได้ ทักษิณเป็นคนมีน้ำใจ อนุญาตให้ผมและบรรจง (เพื่อนที่โตมาด้วยกัน) ไปซ้อมดนตรีได้ถึงในห้องนอน  เราสองคนเดินจากร้านกาแฟไทยประเสริฐไปโรงภาพยนต์ชินทัศนีย์เพื่อซ้อมดนตรี ผมเล่นกีต้าร์ ส่วนจงเล่นเบส…

วันอาทิตย์ที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๐ ทักษิณให้ผมยืมแอมป์ Fender ตัวที่มีอยู่ไปใช้ในงานฤดูหนาว เพื่อช่วยทำให้วงดนตรีพื้นเมืองของอำนวย กลำพัดมีความดังสู้กับเสียงรอบข้างได้...

อ้าว...ว่าจะพูดเรื่องแจ๊สเปียโน ทำไมไปเขียนถึงทักษิณก็ไม่รู้!


เพื่อน ๆ คงเคยเห็นคนเล่นเปียโนที่เล่นแบบธรรมดา ไม่หวือหวา ไม่พรมนิ้วไปมาเหมือนทำเสียงคลื่น แต่ค่อยๆ เปลี่ยนเปลี่ยนคอร์ด โดยการ voice ซึ่งอาศัยโน้ตเพียงไม่กี่ตัว เกิดเสียงประสานที่น่าฟัง จนพูดได้ว่า “It’s jazzy!”  ในอดีตเราไม่มีตำรามากมายอย่างเช่นในปัจจุบัน ถ้าอยากจะเล่นให้ได้สำเนียงเช่นนั้น ก็ต้องอาศัยครูพักลักจำ หรือไม่ก็ค้นคว้าด้วยตนเอง

ทุกวันนี้ ผมยังอยากหันกลับไปศึกษาแจ๊สเปียโนอย่างจริง ๆ จัง ๆ เลยครับ ตำราที่มีอยู่นั้นมากมายจนไม่รู้จะเริ่มต้นจากเล่มไหนดี  น่าเสียดายที่ผมไม่มีเวลาพอที่จะทำตามความอยากของตนเอง  ถ้าวันหนึ่งมีซัก ๔๘ ชั่วโมงก็คงจะดี!

คืนนี้ผมพิมพ์ตำราออกมาได้ ๗ เล่มตามที่ได้ตั้งใจไว้….

อยากเล่นเปียโนแนวแจ๊ส เพื่อน ๆ จะต้องเปลี่ยนสไตล์การเล่นแบบพลิกตัวทันที ทิ้งรูปแบบที่เคยเล่นและชื่นชอบไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็นการไล่นิ้วแบบหนูหรือแมวไล่กันบนคีย์บอร์ด การกระจายคอร์ดแบบ pop และ classic  เคลื่อนไหวให้น้อย แต่สง่าและอลังการด้วยคู่ระยะในรูปแบบของ chromatic progression แล้วจะได้ชื่อว่าเป็นนักเล่นเปียโนแจ๊สที่แท้จริง…

วันนี้อยากให้ลองฝึกเล่น Yesterday ในแนวแจ๊สดูบ้าง แล้วจะต้องร้องว่า “แซบอีหลีเด้อ”  โน้ตเพลง Yesterday อยู่ในหน้า ๒๖-๒๗ ของหนังสือ The Beatles for jazz piano ซึ่งเพื่อน ๆ สามารถคลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่

ขอให้มีความสุขในการเล่นเปียโนแจ๊สนะครับ

ฝันค้าง

เข้านอนตอนตีสาม...เช้านี้ผมให้อาหารพี่ชายล่าไปประมาณครึ่งชั่วโมง ตื่นแล้วไม่กลับไปนอนต่อ แต่ทำงานบ้านหลายอย่างมั่วไปหมด จนประมาณ ๑๐ โมงกว่าก็มีโทรศัพท์จากท่านผู้พัน (มือ fiddle) เข้ามา เราคุยกันถึงเรื่องการเล่นดนตรีแนว bluegrass และเหตุการณ์ที่ Home of Cowboy ในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา...

สิบโมงกว่าผมขี่รถไปซื้อข้าวขาหมูที่ร้านป้าติ๋วทางไปวัดสบตุ๋ย ก่อนกลับบ้านขี่รถเลยไปที่ร้านจิตต์อักษรซึ่งอยู่ไม่ไกลซื้อเทปผ้าสำหรับทำขอบปกหนังสือ ๒ ม้วน คือ ขนาด ๑ นิ้ว ยาว ๑๐ หลา สีเขียว ราคา ๓๐ บาท และขนาด ๑.๕ นิ้ว ๑๐ หลา สีดำ ราคา ๔๕ บาท แล้วยังซื้อดินสอสียี่ห้อ Alligator ๒๔ สี ราคากล่องละ ๑๐๕ บาท เพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้นักเรียนชั้น ป.๓ อีกคนหนึ่งด้วย

ก่อนหน้านั้นผมจะให้ฮาร์โมนิก้า ๑ ตัวพร้อมกับขนมหรือของขวัญอย่างอื่น นักเรียนบางคนยังไม่ถึงวันเกิดก็มาขอของขวัญล่วงหน้า อย่างที่เห็นในภาพ นักเรียนสองคนที่มีวันเกิดต้นปีหน้าโน้นก็ยังได้รับฮาร์โมนิก้าไปเลย...


วันนี้ไม่มีฮาร์โมนิก้าเหลืออยู่ จึงต้องซื้อเครื่องเขียนให้แทน  ก่อนจ่ายตังค์ ผมเลือกซื้อหนังสืออีกเล่มนึง คือ  “คนไทยต้องไม่ป่วย”  เขียนโดย “หมอแดง” หนา ๑๓๒ หน้า ราคา ๑๑๕ บาท


ผมเปิดดูหนังสือแล้วรู้สึกว่าเข้าท่าดี ราคาก็ไม่แพงจนซื้อไม่ได้ คิดแล้วก็อยากทำหนังสือราคาเบา ๆ อย่างเนี้ยขายบ้าง ได้กำไรมาก็แบ่งให้คนตาบอดซะส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็ใช้เป็นทุนเดินทางไปหาข้อมูลมาเขียนต่อ ถ้าทำได้คงมีความสุขมาก ๆ ผมจะได้กลับไปผจญภัยท่องเที่ยวอีกครั้ง และไม่ต้องหอบ accordion ออกไปรับจ้างเล่นแบบฝืด ๆ อีกต่อไป

ผมอยากไปเยี่ยมคุณอ้อที่กัลกัตตา แล้วไปขลุกอยู่ที่ร้านซ่อมเปียโนซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยไปคุยด้วย จะได้ถ่ายภาพและเก็บข้อมูลมาเขียนเป็นหนังสือเล่มละร้อยกว่าบาทออกวางจำหน่าย  (ทำได้จริงก็ไม่รู้ว่าจะขายได้หรือเปล่าเน๊าะ?)

สู้เอจังที่สามารถเขียนหนังสือออกมาได้ตามฝันแล้วก็ไม่ได้...


ผมได้แต่คิดๆๆๆ  ได้แต่ฝันค้างอยู่นั่นแหละ...