Tuesday, January 22, 2013

เล่นเปียโนหากิน ๑



เคยเล่นดนตรีหาตังค์ใช้มานานกว่า ๓ ทศวรรษ...แต่ตอนนี้ผมเลิกแล้ว อิอิ เปลี่ยนมากดแป้นคอมพิวเตอร์แทนการเคาะคีย์เปีียโน...โดยตั้งใจว่าจะทำเว็บไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย พอดีวันนี้มีคำถามจากเพื่อนสมาชิกเกี่ยวกับเรื่องของการเรียนเปียโน ผมจึงขออนุญาตนำมาตอบใน"บล็อกช่างเหอะ" เผื่อว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้สนใจอยากประกอบอาชีพเป็นนักเล่นเปียโนอย่างผมบ้าง...

คำถาม - จะประเมินว่าเราเรียนเปียโนแล้วมีความเข้าใจ เกิดการเรียนรู้ วัดจากอะไร?
คำตอบ - ตามความคิดของผม การที่จะวัดว่าเรามีความเข้าใจและได้เรียนรู้จากการเรียนเปียโน ก็คือ เมื่อไปหยิบโน้ตเพลงอื่น (ยากง่ายอยู่ในระดับเดียวกัน) มาลองซ้อมด้วยตนเอง แล้วสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งครูผู้สอน

คำถาม - เพลงที่เรียนผ่านมาแล้วทิ้งไว้ไม่นาน ก็เล่นไม่ได้แล้ว แสดงว่าเรายังไม่ได้เข้าใจเพลงเลยหรือเปล่า?
คำตอบ - ตามปกติเพลงที่ผมเล่นได้แล้วทิ้งไปนาน เมื่อนำกลับมาเล่นอีกครั้ง ก็ยังพอจะเล่นได้ แม้ไม่คล่องเหมือนเดิม แต่เมื่อได้ทบทวนอีกสักหน่อยก็จะฟื้นได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นเพลงง่าย ๆ สมัยเริ่มเรียน ถ้าได้ย้อนกลับไปดู...อาจเห็นว่าเป็นของกล้วย ๆ ไปเลย
คำว่า "เล่นไม่ได้แล้ว" น่าจะหมายถึงเล่นได้ไม่คล่อง(เหมือนตอนที่เรียน)มากกว่า ผมคิดว่าถ้าเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ ก็ต้องสามารถฟื้นได้โดยใช้เวลาไม่นาน  (คงไม่ใช่ completely blank)

คำถาม - สมมุติว่าเพลง ๆ หนึ่งยาวแค่ห้องเดียว ก่อนจะเล่นเราควรหาให้ได้ก่อนหรือเปล่าว่ามันเป็นคอร์ดอะไร แล้วหา block chord ที่สัมพันธ์กับรูปมือ แต่แน่นอนว่า โน้ตในห้องนั้นย่อมมีตัว passing note ที่ไม่ได้เป็นตัวโน้ตใน chord อยู่บ้างก็ได้ ที่แล้ว ๆ มาก็พยายามแต่จะจำเพลงให้ได้ หรือเป็นแค่ finger memory คือทำให้เรามีความเคยชินกับสัมผัส (เหมือนพิมพ์ดีดแบบสัมผัส) พอเปลี่ยนเพลงก็ต้องมาจำกันใหม่...
คำตอบ - ผมคิดว่าจำอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจในองค์ประกอบทั้งหมด แล้วนำไปฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ตัวเลขที่มีให้นั้นเป็นแค่การแนะนำให้ใช้นิ้วที่เหมาะสม ต้องหัดอ่านที่ตัวโน้ต มิใช่ที่ตัวเลข มิฉะนั้นจะเป็นเพียงแค่การพิมพ์ดีดแบบสัมผัส

คำถาม - ทำไมเราไม่หัดจับ chord หรือพวก broken chord และไล่ scale ให้มากกว่าเล่นเพลง?
คำตอบ - นักเรียนเปียโนคลาสสิกต้องฝึกเล่นเสกลหนักกว่าเล่นเพลงเสียอีก แต่สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ การฝึกเล่นเพลงก็เป็นการฝึกหัดจับคอร์ดและเล่นเสกลไปในตัวแล้วครับ

คำถาม - เคยไปยื่นดูนักเปียโนในห้างเซ็นทรัลชิดลม คนเล่นอายุไม่มากเลย ตัวโน้ตไม่ได้เยอะ มีเพียง melody กับชื่อ chord เท่านั้นเอง แต่เสียงที่เล่นออกมานั้น accom มีเสียงประสานครบ แสดงว่าคนเล่นมีความเข้าใน chord, scale, key รู้ว่าจะเล่นอะไรเพิ่มเติมใช่ไหม?
คำตอบ - ถูกต้องครับ และถ้าจะให้ดีกว่านั้น...ควรเล่นโดยไม่ต้องอาศัยโน้ต ให้พยายามจำเพลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเป็นนักร้องก็ต้องจำเนื้อเพลงให้ได้มาก ๆ

คำถาม - ผมมีความเข้าใจว่าจะเพิ่มโน้ตอะไรให้เสียงประสาน แต่ต้องเขียนออกมาก่อน จะต้องซ้อมยังไงครับ จึงจะสามารถเล่นแบบ improvise ได้ ตอนนี้เหมือนผมบวก 1+1 = 2 แต่ผมต้องหากระดาษมาทดก่อน อยากเล่นออกมาได้เลย...จะทำอย่างไร?
คำตอบ - คงต้องใช้เวลาหน่อยครับ เพราะจะต้องอาศัยประสบการณ์ซึ่งสั่งสมได้เรื่อย ๆ จากการทดลองปฏิบัติ จากการดูการฟัง และหาผู้ชี้แนะ  ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัตินอกกรอบให้เกิดความแตกฉาน รวมทั้งฝึกเล่น "เพลงครู" ให้เชี่ยวชาญ

คำถาม - ทั้งหมดนี้เป็นแนวการเรียนรู้ที่ต่างจากแนว classic ที่ผมเรียนมาเลยใช่ไหม?
คำตอบ - ไม่ว่าจะเรียนเปียโนแนวไหน...ก็ต้องเรียนรู้ด้านพื้นฐานเหมือนกันหมด จากนั้นก็ค่อยแยกไปฝึกในแนวที่ปรารถนา ในกรณีอายุมากแล้วและอยากมีความสุขกับการเล่นเปียโน ตำราของ Alfred ใช้ได้เลยครับ แต่อย่าฝึกให้แค่เล่นเพลงได้เพียงอย่างเดียว ต้องศึกษาทฤษฎีและแบบฝึกหัดซึ่งถูกวางไว้เป็นอย่างดีจนเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้

คำถาม -  ผมจับประเด็นได้ว่า ถ้าผมมีทางเดิน chord อย่างเ่ช่น C-Dm-G7-C แล้วผมก็ซ้อมไปตามนี้โดยเล่นเป็นตัวโน้ตแต่ละตัวไปตามแต่ละ chord ถ้าผมซ้อมบ่อย ๆ ก็จะ improvise ได้ เป็นการเดินถูกทางหรือไม่?
คำตอบ - ถูกต้องครับ เค้าถึงได้มีตำราอย่างของ Jamey Aebersold มากมาย สำหรับผู้ที่อยากจะฝึกแจ๊สเปียโน


ขอบคุณที่ให้เกียรติสอบถามครับผม

Monday, January 14, 2013

ซ่อมสวิตช์อัตโนมัติ...


สวิตช์อัตโนมัติ (automatic switch) ของเครื่องสูบน้ำซึ่งทำหน้าที่ปิดเปิดให้น้ำจากถังเก็บขึ้นสู่อาคารชั้น ๒ และ ๓  มีปัญหาใ้ห้เห็นมานานนับเดือนแล้ว ผมสังเกตได้ว่ามีน้ำรั่ว...นองอยู่บริเวณที่ตั้งสูบน้ำบนกันสาดซึ่งปกติจะแห้งสนิท แต่ผมก็ยังไม่ได้ลงมือซ่อมสักที

เนื่องจากแรงดันในถังสำรองน้ำ (1) ลดลง  ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงมอเตอร์ทำงานประมาณ ๒-๓ วินาทีแล้วหยุดเป็นระยะ ๆ...น่ารำคาญและเปลืองไฟด้วยครับ!

วันนี้มีสาเหตุทำให้ต้องไต่หลังคาห้องน้ำขึ้นไปดู ผมเห็นน้ำหยดติ๋ง ๆ จากบริเวณถังสำรอง (1) ลงไปตามท่อพีวีซีขนาด ๑ นิ้วที่เห็น มันรั่วตรงจุดที่ปลายท่อ(พลาสติกสีดำ)ชุดสวิตช์อัตโนมัติถูกขันเข้าในท่อต่อเกลียวในขนาด ๑ นิ้ว (2)    คิดว่ามันอาจจะขันไม่แน่น...ผมใช้มือจับถังสำรองน้ำ (1) แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกา  "ก๊อบ"...หักหลุดออกมาเลย!  มอเตอร์ทำงานทันที...ดันน้ำให้พุ่งออกมาจากปลายท่อที่ัหัก (2)  ผมต้องใช้วิชาตัวเบา...กระโดดไปบนหลังคาสังกะสี เพื่อลงไปปิดสวิตช์อย่างไม่รอช้า!  จากนั้นก็กลับขึ้นมาหาวิธีซ่อมตามประสา "ช่างเหอะ"...  

งั่ม ๆ ถ้าจะซื้อมาเปลี่ยนทั้งชุดก็หลายตังค์  ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาทเอาไม่อยู่แน่นอน ตัวสวิตช์อัตโนมัติ (3) ก็เพิ่งเปลี่ยนได้ไม่นานนี้เอง (เคยเขียนถึงแล้ว) 

"ช่างเหอะ" บึ่งแมงกะไซค์ไปห้างไทวัสดุ  ซื้อ "ข้อต่อตรงเกลียวนอก" ขนาด ๖ หุนมา ๑ ตัว (๓ บาท) และท่อลด 1"-3/4" อีก ๑ ตัว (๔.๕๐ บาท)  สองอย่างเองครับ...น้ำยาประสานท่อไม่ต้องซื้อ เพราะที่เหลือเก็บไว้ในตู้เย็นยังใช้ได้อยู่    เอาล่ะ... เมื่อได้อะไหล่แล้ว เรามาลงมือซ่อมกันเลย


ลองเทียบดูซิว่าข้อต่อเกลียวนอกจะใช้กับรูท่อที่หักได้ไหม?  ว้าว! แจ๋วเลย  ผมใช้กระดาษทรายลูบ ๒-๓ รอบ (เอาเคล็ด..โดยไม่ต้องเสกคาถา) แล้วทาน้ำยาประสานลงบนเกลียวและรูท่อพลาสติกสีดำ จากนั้นก็หมุนและดันเจ้าข้อต่อตรงเกลียวนอกเข้าไป... ฮึด!


นี่ไง...เรียบโร้ย! เชื่อมสนิท ไม่มีรูรั่ว!  เอาวางไว้ก่อน   หันไปคว้าเลื่อยมาตัดท่อ ๑ นิ้วออก เอาส่วนที่เป็นข้อต่อเกลียวในซึ่งมีปลายท่อพลาสติกดำหักคาอยู่ทิ้งไป...


นำท่อลด 1"-3/4" ที่ซื้อมาต่อเข้าไปโดยใช้น้ำยาประสาน.... 


หาเศษท่อขนาด 3/4" หรือ 6 หุนมาตัดใส่อย่างเนี้ย....


แล้วนำเจ้าตัวที่ทำเตรียมไว้แล้วเข้าสวม   (ใช้น้ำยาประสานท่อทุกขั้นตอน)


เสร็จแล้วจ้า! แน่นสนิท..ปราศจากรอยรั่ว!  ต่อสายไฟเข้าอย่างเดิมแล้วครอบด้วยลังพลาสติกให้เรียบร้อย  ผมลงไปเปิดสวิตช์ เจ้าปั้มน้ำอัตโนมัติกลับมาทำงานได้ตามปกติ ไม่มีอาการลักปิดลักเปิดอีกเลย...


งานนี้แทนที่จะเสียเงินไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ บาท  "ช่างเหอะ" ชุบชีวิตเจ้าสวิตช์อัตโนมัติโดยใช้งบประมาณไม่ถึง ๑๐ บาทเองคร้าบ...

Sunday, January 06, 2013

Lens cap

จริงด้วยสิ! หายนะไม่บังเกิดในวันสิ้นโลก  มันทำให้ผมมีโอกาสได้แบกเป้ไปลาวอย่างมีความสุข   ถึงกระนั้น....ผมก็ยังพยายามคิดอยู่ว่า ทริปครั้งล่าสุดนี้ มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจบ้าง?

งั่ม ๆ มีอยู่อย่างเดียวจริง ๆ จะว่าเป็นหายนะ (เล็ก ๆ)ที่เกิดขึ้นในเวียงจันทน์ก็ว่าได้ (อิอิ)  นึกแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเล่า เพราะอายคุณเมธี!

ไม่ว่าจะเป็นทริปใด...มักจะมีเหตุที่ทำให้ผมต้องเสียใจทุกครั้งไป  ใน Calcutta ผมโดนแขกหลอกเอาเจ้า Rollei 35 ไปถึงกับน้ำตาร่วง!  ไปเวียดนามเจ้า Canon ก็มีอันเป็นไปซะก่อน ทำให้อดถ่ายรูปในช่วงหลัง  ไปมาเลเซียก็ดันไปลืมกางเกงขาสั้นไว้ที่ hostel ใน KL  ฯลฯ  การเดินทางที่ผ่านมา...ผมจึงพยายามสุด ๆ ที่จะไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดี

วันนั้น...ไปถึงเวียงจันทน์ก่อนเที่ยง พอได้ที่พักเรียบร้อย ผมก็ออกเดินเที่ยวด้วยความสบายใจ  ผมไปชมบรรยากาศริมโขงตอนแดดเปรี้ยง จากนั้นก็เดินเที่ยววัดต่อ


ยักษ์ (ไม่รู้ว่าเป็นญาติกับยักษ์วัดแจ้งหรือเปล่า?) ส่งสายตาอนุญาตให้ผมเดินเข้าไปเที่ยวข้างในได้...


D50 ทำหน้าที่บันทึกภาพเป็นระยะ ๆ....



 เข้าไปในโบสถ์แล้วกลับออกมา...ผมเดินไปดูการละเล่นของเด็กนักเรียนและถ่ายภาพเก็บไว้


บันทึกภาพเสร็จ...ผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาฝาปิดหน้าเลนส์ (lens cap) ตายล่ะหว่า! มันหายไปแล้ว!! ในความมืด...ผมจินตนาการเห็นใบหน้าของคุณเมธีแสยะยิ้ม...มองมาด้วยสายตาเย้ยเยาะ!  ผมรีบเดินกลับไปหาในโบสถ์...ไม่มี!  เดินย้อนกลับไปทางเก่า มองหาตามพื้นถนน...ไร้เงา!!  ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น นับเป็นความผิดพลาดที่อยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ!

เมื่อได้กลับถึงบ้านที่ลำปาง ผมเข้าไปค้นหาตามเว็บว่าพอจะหาซื้อเจ้าฝานั่นได้หรือเปล่า รู้สึกโล่งใจที่เห็นมีประกาศขายเยอะแยะ ในราคาตั้งแต่ ๑๒๐ - ๒๐๐ บาท  "ต้องรีบสั่งซื้อ" ผมคิดในใจ!  แต่แล้วความคิดก็แว๊บขึ้นในสมองว่ามีกล้องฟิล์มที่ใช้เลนส์ซูมซึ่งมีผาปิดอยู่นี่นา ผมรีบกระชากลากตัวเจ้า Canon ออกมาจากลิ้นชัก....


ลองเอาฝาปิดหน้าเลนส์มาใส่ให้เจ้า D50   ว้าว! ใส่ได้พอดีเลย เพีียงแต่มันไม่มีคำว่า Nikon ติดอยู่เท่านั้น!


ผมเก็บเจ้า AE-1 ใส่ถุงไว้ซะเลย...


วันนี้คุยเรื่องกล้องถ่ายรูป จึงอยากจะแถมท้ายด้วยการนำภาพถ่ายชนะเลิศ "National Geographic"  ปี 2012 มาฝากให้เพื่อน ๆ ได้ดูด้วยครับ...

รางวัลชนะเลิศ "บุษบา" เสือโคร่งจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ถ่ายโดย แอชลีย์ วินเซนต์

รางวัลที่ ๑ สาขาสถานที่  "The Matterhorn" ภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์ คืนพระจันทร์เต็มดวง

รางวัลที่ ๑ สาขาบุคคล "Amongst the Scavengers"  ภาพหญิงเคนยาบนกองขยะ
ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์
จะมีครั้งไหนบ้างที่ผมไม่ได้ทำอะไรหายเลย?

Saturday, January 05, 2013

ซ่อมเครื่องชงกาแฟ


อาสาที่จะซ่อมเครื่องชงกาแฟให้ผู้ปกครองของนักเรียนเปียโน...ผมนำมันใส่แมงกะไซค์กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว บ่ายวันนี้ผมเดินไปเจอกล่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ...อดสงสัยไม่ได้ว่าใครเอาอะไรมาให้!  

โธ่ ! ไม่น่าลืมเลย!!  ผมคิดขึ้นมาได้ว่านั่นคือกล่องเครื่องชงกาแฟที่อาสาจะซ่อมให้  ไม่เคยใช้เครื่องชงกาแฟแบบนี้มาก่อน...จึงต้องศึกษาวิธีใช้งานก่อนเป็นอันดับแรก  ผมได้รับคำบอกมาว่า "น้ำไม่ขึ้น"   ทีแรกก็คิดว่ามันน่าจะมีปั้มน้ำตัวเล็ก ๆ และอาจเสียตรงนั้นก็ได้!

ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ"กากาแฟ" ซึ่งแตกง่าย ยังไง ๆ ก็ต้องรีีบนำออกไปตั้งไว้ไกล ๆ ก่อน จากนั้นก็ทดลองใส่น้ำลงไปแล้วเปิดสวิช  ผมไม่เห็นการเคลื่อนไหวของน้ำไปตามท่อเลย  ต้องรีบปิดสวิชทันทีเพราะเกรงว่าเครื่องจะพัง   ใ่ช่เลย! น้ำไม่ขึ้นจริง ๆ


ด้วยความไม่รู้...ผมเผลอเอานิ้วหัวแม่มือข้างขวาไปแตะจานโลหะที่ตั้งกากาแฟ   จ๊าก! มันร้อนเหมือนกับเอานิ้วไปสัมผัสกะทะร้อน ๆ   พองเลย! สำหรับบทเรียนวันนี้   ผมเทน้ำออก นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดบริเวณที่วางกา จากนั้นก็เริ่มศึกษาการทำงานของมัน วิธีเดียวคือ...ต้องรื้อออกมาดู  ข้างใต้มีสกรูตัวเล็ก ๆ ยึดอยู่ ๓ ตัว (ดันมีหัวไม่เหมือนใครซะอีก)  จะใช้ไขควงหัวแฉกขันก็ไม่ได้...หัวแบนก็ไม่ได้  (ไม่รู้ว่าออกแบบมาทำำไมอย่างเนี้ย)



ช่างเหอะต้องใช้ไขควงซ่อมนาฺฬิกา ค่อย ๆ คลายสกรูออกมาจนได้...


อ่อ! ไม่มีปั้มตัวเล็ก มีแค่ heater อยู่ข้างใต้ ผมลงมือศึกษาการทำงานของเครื่องแล้วเขียนลงบนกระดาษด้วยฝีมือระดับด๊อกน้อทอีททันที




สาเหตุคือ น้ำใน container มันไม่ไหลลงไปยัง heater




ผมดึงปลายสายท่อซึ่งต่อเข้ากับท่อของตัวทำความร้อนออก นำเข้าปากแล้วดูดอย่างแรง  "ปุด" เสียงลมวิ่งผ่านรูเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ก้น container    อ่า...หายอุดตันแย้ว!  ผมทำเช่นนั้นกับปลายท่อที่ดึงน้ำขึ้นข้างบน แต่ใช้วิธีเป่า ด้านนี้ไม่มีปัญหา  จากนั้นก็ ประกอบชิ้นส่วนกลับเข้าที่ เติมน้ำลงใน container อีกครั้ง นำกาขึ้นตั้งแล้วเปิดสวิช...  

เกิดเสียงดัง "คร๊อก ๆ" คล้ายคนนอนกรน ผมเห็นน้ำร้อนไหลลงสู่กากาแฟ...



เจ้า KASSEL ทำงานตามปกติแล้ว!

เสียดายที่ไม่มีผงกาแฟ  ไม่งั้นจะชงกาแฟสดร้อน ๆ หอม ๆ ดื่มซักถ้วย!

Friday, January 04, 2013

สิ่งที่ต้องทำ...หลังจากการแบกเป้ท่องเที่ยว


หลังจากแบกเป้ท่องเที่ยวเมืองลาวได้กว่า ๑ สัปดาห์...ผมก็เดินทางกลับถึงบ้าน  จำได้ว่าเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ว่า ผมเลือกเป้ใบเก่า เพราะต้องการใช้บรรจุของให้ได้เต็มพิกัด เหมือนตอนไปเที่ยวลาวและเวียดนาม เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

วันรุ่งขึ้นมีสิ่งที่จะต้องทำคือ การนำถุึงนอนและข้าวของออกจากเป้ให้หมด เพื่อจะได้นำเสื้อผ้าเหม็น ๆ ออกไปซัก เอกสารสำคัญอย่างเช่น หนังสือเดินทาง เงินที่เหลือใช้ หนังสือ และสมุดบันทึก ก็ต้องนำออกแยกเก็บเข้าที่...

ล้วงเอาแผ่นกระดาษออกจากเป้ให้หมด ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ ตั๋วรถ ตั๋วเรือ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ตลอดจนสลิปจากร้านค้า จะได้รวบรวมไว้เป็น souvenir  (อิอิ)   สำหรับกล้องถ่ายรูปและ net book ก็ต้องรีบนำออกมาเช็ดทำความสะอาด  SD card ก็อย่าลืมนำไปถ่ายข้อมูลลงคอมพ์ฯ เสียให้เรียบร้อย

จากนั้นก็ให้รูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ทุก ๆ ใบ กลับเป้เอาด้านบนลงล่าง(upside down)...แล้วเขย่า ๆๆๆ เพื่อให้เศษดินเศษผงร่วงออกมา

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ นำไปตากแดด  



พร้อมกับถุงนอนซึ่งรูดซิปกลับเอาด้านในออก...


ตอนเย็นอย่าลืมเก็บนะครับ ถุงนอนก็ให้ม้วนเก็บลงถุงเหมือนเดิม ส่วนเป้ก็รูดซิป ล็อคสายรัด แล้วนำไปแขวนไว้ในที่ของมัน ถึงเวลาจะได้นำออกไปใช้ได้ทันที

แล้วเมื่อไหร่จะได้แบกเป้อีกล่ะ?  ยิ่งปีนี้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงซะด้วย  เจ้าแรด (ชื่อเป้) คงจะต้องรอเก้อไปอีกนาน...

Thursday, January 03, 2013

ซ่อมแว่นตาประสาช่างเหอะ


ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ปีที่แล้ว ถึงคืนวันพุธที่ ๒ มกราคมที่ผ่านมา ผมเดินทางแบกเป้ไปเที่ยวเชียงของ-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์ ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ ๔,๕๐๐ บาท เป็นการเดินทางอย่างประหยัดแต่ก็ได้ประโยชน์สุด  ผมตั้งใจว่าจะนำเทคนิคและขัอมูลซึ่งแตกต่างกับที่มีในเว็บอื่น ๆ มาเขียนไว้ใน"บล็อกช่างเหอะ" ในลำดับต่อไป 

แต่วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่อง "การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า" ตามสไตล์ช่างเหอะก่อนนะครับ กล่าวคือ...ผมเป็นคนสายตาสั้นมาก ๆ หลังจากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาแล้วก็ยังคงต้องสวมแว่นตาอยู่เป็นประจำ  ไปเมืองลาวครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ที่รองจมูกของเจ้ากรอบแว่นตาราคาถูกของผมเกิดหักขึ้นมา...


ที่รองจมูกตัวที่หักคือตัวด้านขวามือ  พอปราศจากแผ่นซิลิโคน (1) เหลือแต่ปลายโลหะ (2) มันก็ทิ่มแทงเนื้อจมูกบริเวณที่เคยสัมผัสกับแผ่นรองจมูก  ทำให้รู้สึกเจ็บ! ถ้าเป็นเมืองใหญ่ ๆ ผมก็คงนำไปซ่อมที่ร้านแว่นตา  แต่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างหลวงพระบางหรือวังเวียง (แม้แต่เวียงจันทน์) ความหวังที่จะหาอะไหล่นั้นไม่มีจริง ๆ  แล้วผมจะทำอย่างไรดีถึงจะมีแว่นตาสวม!

ถ้าเป็นเพื่อน ๆ จะทำอย่างไรครับ?  สำหรับ "ช่างเหอะ" มีวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าดังนี้...

บนฝากระป๋องแป้ง มีแผ่น sticker ติดอยู่ ผมแกะออกมา ด้านหนึ่งเป็นกาวเหนียว ผมฉีกให้คล้ายเทปพันสายไฟ แล้วค่อย ๆ บรรจงพันรอบปลายโลหะ เำพื่อลดความแหลมคม (ดังที่เห็นในภาพ)


ยังใช้ไม่ได้ครับ จะต้องมีอะไรมาทำหน้าที่แทนซิลิโคนแผ่นรองจมูก ผมมองรอบตัว...เห็นการ์ดใบเล็ก ๆ ซึ่งวัดในพม่าแห่งหนึ่งคล้องติดให้ไว้กับกล้องถ่ายรูป เมื่อผมได้ชำระค่าธรรมเนียมใช้กล้องถ่ายรูปแล้ว.... 


มียางรัดถุงคล้องไว้  ผมแกะออก แล้วนำไปพันทับ sticker ซึ่งหุ้มห่อปลายโลหะไว้อีกที  


เสร็จแล้วลองนำแว่นขึ้นสวม ปรากฏว่าใช้ได้ ผมสามารถสวมแว่นได้ตามปกติ ไม่เจ็บเพราะถูกเหล็กทิ่มตำอีกต่อไป...


ผมท่องเที่ยวต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องแว่นตา จนถึงวันที่เดินทางกลับเข้าบ้านที่ลำปาง

หุหุ  ถึงวันนี้ก็ยังใช้ต่อไป  ยังไม่มีโอกาสนำแว่นตาไปให้ร้านซ่อม!