Thursday, April 25, 2013

คิดถึงอาจารย์หมู


ผมมีวารสาร ILLI ฉบับพิเศษ (เดือนกันยายน ๒๕๕๕) อยู่ในมือ  จำได้ว่าได้รับไว้เมื่อตอนที่ไปช่วยตัดสินการประกวดดนตรี Rock La-on ที่อาคารมูลนิธิบุญกว้างเมื่อปีที่แล้ว...



วันนี้...ผมคิดถึงชายวัยกลางคนรูปหล่อไว้ผมยาว สวมแว่นตา และพูดจาน้ำไหลไฟดับ ที่ชื่อ "กิติพันธุ์ ปุณกะบุตร (หมู)" เขาคือมือกีต้าร์ผู้มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของประเทศไทย และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งวง แมคอินทอช

ไม่รู้ว่าทุกวันนี้อาจารย์หมูสบายดีหรือเปล่า? โรงเรียนดนตรีแถวท่ามะโอยังเปิดอยู่หรือไม่?  ผมเห็น faccbook ของ DogGang  ไม่เคลื่อนไหวมานานแล้ว!



อาจารย์หมูเป็นคนมีไฟแรง มาอยู่ลำปางด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับบ้านนี้เมืองนี้ แต่เมื่อมาพบกับความไม่เหมือนใครของเมืองปราบเซียน  หนุ่มผู้มากด้วยพลังอาจต้องผิดหวังครับ! .

อาจารย์กิติพันธุ์ได้ให้สัมภาษณ์กับวารสาร ILLI ไว้ตอนนึงว่า...
ผมหนีน้ำจากกรุงเทพฯ มาอยู่ลำปาง ๔ เดือนแล้วครับ และผมเป็นนักวิเคราะห์ ผมมองดูว่าคนลำปางเป็นคนยังไง ตอบได้อย่างสุภาพ ตอบได้ว่าคนลำปางไม่ได้ขึ้เหนีียว มุมมองของผม คนลำปางทิฐิสูงมาก อย่างพูดอะไรไปก็เฉย ๆ เกิดการยอมรับยาก หากจะทำอะไรต้องลงมือทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้ ทำยังไงบ้าง ในมุมมองของคนลำปางเนี่ย จังหวัดลำปางไม่มีอะไรดีเลยของคนมีเงิน สังเกตดูมีลูกมีหลานส่งไปเรียนที่อื่นหมด ไปกรุงเทพฯ ไปต่างประเทศ ดังนั้นจะทำอะไรแล้ว หากคิดต้องลงมือทำ ลุยกันไปเลย และผมมั่นใจว่า สิ่งดี ๆ จะต้องตามมาแน่นอน 

ผมรู้ว่าอาจารย์หมูได้สู้มาแล้วปีกว่า ๆ  บาดเจ็บทั่วตัว ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าตอนนี้เป็นราชสีห์ที่กำลังนอนเลียแผลอยู่ ณ ที่ใด!!

แค่อยากบอกว่า "คิดถึงนะ อาจารย์หมู"

Note -  ภาพประกอบนำมาจาก ILLI Magazine และ www.facebook.com/DoggangClub

Wednesday, April 24, 2013

ซ่อมกระเบื้องปูพื้น ๒

วันก่อนช่างเหอะเขียนเรื่อง "ซ่อมกระเบื้องปูพื้น ๑"   โดยลงท้ายว่า... ก่อนที่จะปูกระเบื้องแผ่นใหม่ก็จะต้องเทปูนอุดช่องว่างและรอยแตก (ที่เห็นในภาพ) เสียก่อน


วันนี้เวลาประมาณ ๑๑ โมง...ผมตั้งใจนำจักรยานยนต์ออกไปซื้อทราย เพื่อทำงานชิ้นนี้ต่อ แต่พวกหัวปิงปองดันมาตั้งด่านอยู่หน้าโรงงาน UFC  (ช่างเก่งจริง ๆ สำหรับการเป่านกหวีด จับปากกา และเขียนใบสั่ง)  ผมต้องรอจนเที่ยงกว่า ๆ ถึงได้นำแมงกะไซค์ออกจากบ้าน....

แก้คำผิด maket = market
ที่ ๆ ผมจะไปซื้อทรายอยู่เลยสี่แยกบ้านหมอสมไปหน่อยนึง  อยู่ทางด้านซ้ายมือ หาไม่ยากครับ!  เห็นกองหินกองทรายก็เลี้ยวเข้าไปได้เลย...


ผมขี่จักรยานยนต์ไปจอดใกล้ ๆ กองทราย บอกกับคนขายว่า "ขอซื้อทราย ๑ ไต้"  คำว่า "ไต้" หมายถึง "กระสอบ" เค้าถามว่าจะเอาไปทำอะไร พอรู้ว่าผมจะนำไปผสมปูนเทพื้น ก็หิ้วกระสอบทรายที่ไม่ใช่ทรายละเอียดมาให้ (ราคาเท่ากันทั้งทรายหยาบและทรายละเอียด คือกระสอบละ ๒๐ บาท)  


กระสอบทรายถูกวางไว้ข้างหน้า..ระหว่างลำแข้ง  ต้องใช้หัวเข่าหนีบเอาไว้  ผมจ่ายเงิน ๒๐ บาทแล้วปรับสมดุล ก่อนที่จะบิดคันเร่งบังคับให้รถวิ่งมุ่งหน้ากลับบ้าน  

ระหว่างทางจะต้องผ่านโรงเรียนนานาชาติที่เคยไปสอนเมื่อหลายปีมาแล้ว...ผมเห็นป้ายชื่อถูกเปลี่ยนจาก "โรงเรียนนานาชาตินวัตภูมิ" ไปเป็น "โรงเรียนนานาชาติอังกฤษแห่งภาคเหนือ"  จึงได้หยุดถ่ายภาพไว้ ๑ บาน  คิดในใจว่าเดือนสิงหาคมนี้ Cranberry จะเปิดอีกแห่งหนึ่ง....คงสนุกกันใหญ่!! 


เดินทางต่อไปได้อีกไม่ไกล...พระพิรุณก็เทลงมา!!   ผมไม่ยอมหยุด  พาเ่จ้าเพื่อนยากมุ่งหน้าฝ่าสายฝนจนถึงบ้าน!! 


คุณลุงซึ่งกำลังเทปูนอยู่หน้าบ้านคุณวิสูตรเห็นผมนำกระสอบวางกับพื้นก็ถามว่าอะไร ผมตอบว่าเป็นทรายที่จะเอามาผสมปูนเทอุดรอยแตกก่อนปูกระเบื้อง แกชี้ไปที่กองทรายแล้วบอกว่า "เอาที่นี่ก็ได้... ใช้แค่นิดเดียวเอง"  แล้วถามต่อว่า "ปู๋นมีแล้วกา?"  ผมตอบว่ายังไม่มี กำลังจะออกไปซื้อ นายช่างผู้ใจดีก็บอกว่า "เอาตี้นี่ไปใจ้ก่อได้"

รู้ว่าผมเกรงใจ...คุณลุงบอกว่าไม่เป็นไรหรอก บ้านใกล้เรือนเคียง เดี๋ยวจะบอกเจ้าของเค้าให้  (หมายเหตุ -  ทั้งหมดเป็นการสนทนาด้วยคำเมือง)  จากนั้นก็ตักปูนประมาณเกือบครึ่งถัง นำมาวางให้ไว้ที่หน้าบ้าน

ผมหาเศษไม้ยาว ๆ มาวางกั้น แล้วตวงทรายใส่ลงในถังปูน (ไม่ผสมบนพื้นให้เลอะเปล่า ๆ) ในอัตราส่วน ๒ ต่อ ๓  จากนั้นก็เทน้ำลงไป แล้วใช้เกรียงกวนให้เข้ากัน   หิ้วถังขึ้น...ผมบิดข้อมือไปมาให้ทรายกับปูนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนที่จะนำไปวางไว้หน้าบ้าน แล้วใช้เกรียงตักปูนใส่ลงในร่องและช่องว่างที่เห็น...


ผมใช้ปลายเกรียงกระซวก ๆ ให้ปูนเข้าอุดจนเต็ม แล้วแต่งหน้าให้เรียบ  แต่ก็ไม่ให้มีระดับเสมอกับพื้นเดิมซึ่งยังจะต้องสกัดออกอีกหน่อย... 


เรียบร้อยแล้ว....ปูนหมดพอดี!  ผมนำถังไปล้างก่อนส่งคืน!

เดินไปหานายช่างที่กำลังผสมปูน   วางถังลง...ผมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณ  ไม่คาดคิดมาก่อน...ช่างปูนผมขาวรีบวางมือ รับไหว้ แล้วพูดว่า "บ่อต้องไหว้ก่อได้"

อันความซาบซึ้งมิได้เกิดจากปูนแค่ครึ่งถัง แต่เป็นเพราะน้ำใจของลุงสล่าผู้ยึดมั่นอยู่ในความเรียบง่ายและชีวิตที่พอเพียง  มันมีมากจนประเมินค่ามิได้!!

Tuesday, April 23, 2013

ความเจริญที่ยั้งไม่อยู่...

วันนี้ผมมีโอกาสนำภาพเก่า ๆ ที่ได้ถ่ายไว้ ตั้งแต่สมัยมาอยู่ที่อาคารพาณิชย์บ้านปงแสนทองใหม่ ๆ ออกมาดู!


ภาพหนึ่งที่ทำให้ผมอดภูมิใจไม่ได้ คือบริเวณหลังบ้านที่ผมต้องทำรั้วและฐานที่กรองน้ำเอง ก่อนหน้านั้นผมไม่มีความรู้เรื่องการก่อสร้างเลย ต้องซื้อหนังสือมาอ่านแล้วทำไปตามตำรา  เสาปูนทุกต้น...บล็อคแต่ละก้อน...ผมตั้งและก่อด้วยมือตัวเอง ไม่มีใครช่วย (แม้แต่พี่ชาย)  ประตูรั้วก็ทำเองด้วยโครงไม้และสังกะสี  จนเป็นเช่นภาพนี้...


ผ่านมาแล้ว ๑๐ กว่าปี ตอนนี้ผมกำลังจะขายบ้านและจากสิ่งที่ผมสร้างมากับมือไป...   

คูหาที่อยู่ติดกัน...คุณวิสูตร เจ้าของร้านไฟฟ้า ก็ขอซื้อต่อจากคุณเบิ้มไปแล้ว เขากำลังปรับปรุงใหม่ ทาสีฟ้าที่ดูสดสวย (แต่ผมจะไม่ใช้ทาอาคาร เพราะชอบ earth tone มากกว่า อาจารย์ต้อมว่าจริงมั้ย?... อิอิ)


บ่ายวันนี้ ผมขี่จักรยานยนต์ไปอำเภอห้างฉัตรเพื่อดูอาคารพาณิชย์ที่เค้าประกาศขายในเน็ต  ระยะทาง ๑๐ กว่ากิโลเมตรจากบ้าน...ผมค่อย ๆ ขับขี่ไปช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง!   ขาไป...ต้องผ่านพื้นที่กว้างขวางของห้าง Global House ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายมือ...


นำเจ้า Nikon D50 คล้องคอไปด้วย... ผมจอดรถอยู่ใต้เงาไม้ แล้วถ่ายภาพห้างใหญ่ที่กำลังจะเปิดในวันที่ ๒๐ เดือนพฤษภาคม...


ผมได้เห็นบริเวณนี้มาตั้งแต่สมัยที่มันยังเป็นป่าหญ้าและทุ่งนา แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว!

 

นับแต่นี้ไป...จาก Global House ไปจนถึงบ้านของผมจะกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ  ที่เจริญเติมโตจนไม่มีใครหยุดยั้งได้อีกแล้ว!!

Monday, April 22, 2013

วิธีขจัดคราบสีน้ำมัน...


หลังจากทาสีน้ำมันตามจุดต่าง ๆ เพื่อให้บ้านดูดียิ่งขึ้น  ผมพบว่ามีรอยเปื้อนและหยดสีเกาะอยู่บนพื้นกระเบื้องเป็นบางแห่ง....

เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับการทาสีแบบมักง่ายของผม!  ก็เล่นไม่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์หรือแผ่นพลาสติกปูกันไว้นี่นา มันก็เลยหยดแมะ ๆ จากแปรงทาสีลงสู่พื้นตรง ๆ นะซิ  แ่ล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?

ไม่ยากครับ!  ผมใช้วิธี "หนามยอกเอาหนามบ่ง"   ก่อนอื่นต้องจัดหาอุปกรณ์ก่อน  ค้นหาที่ฉีดน้ำยาเคลือบเบาะซึ่งหมดแล้ว (sprayer) มาได้จากกองขยะ...ผมนำมันมาเติมน้ำมันสนลงไปจนเต็มแล้วทดลองฉีด   "ฟืด ๆ"  อืมมม...ใช้ได้!    ผมไปที่อ่างล้างจาน หาสก๊อตไบร์ทเก่าหมดอายุมาได้อีก ๑ ชิ้น!


ยังขาดอะไรอีกน้า?  อ่อ...ต้องมีเศษกระดาษทรายน้ำที่ใช้แล้วอีกสักแผ่น หาไม่ยากครับ...อยู่บนโต๊ะนั่นเอง   อ่อ..เดี๋ยวก่อน!  ถ้าจะให้ดี ต้องมีถุงมือและผ้าปิดจมูก (mask) ด้วย   พร้อมแล้วไปลงมือทำกันเลยครับ  รอยเปื้อนอยู่นั่น....


"ฟืด ๆ" ฉีดน้ำมันสนลงไปแค่บาง ๆ  แล้วใช้สก๊อตไบร์ทขัดเบา ๆ


เท่านั้นเอง... รอยเปื้อนสีหายเกลี้ยง!


อย่างรอยเนี้ย...น่าจะเป็นจาราบี!


ไม่ต้องฉีดน้ำมันสนเพราะมีอยู่ในสก๊อตไบร์ทแล้ว...ผมเพียงขัดถูเบา ๆ รอยเปื้อนก็หายวับไปกับตา!.


แต่มันก็ใช่ว่าจะง่ายไปหมด หยดสีเล็ก ๆ มักจะหัวแข็ง เกาะติดแน่น ไม่ยอมออกง่าย ๆ  สก๊อตไบร์ทยังส่ายหัว!


ต้องใช้กระดาษทรายน้ำครับ ฉีดน้ำมันสนลงไปที่หยดสีฟืดเดีียวพอ แหงนหน้าขึ้นไปยิ้มให้เพดานก่อน แล้วใช้กระดาษทรายขัดวนตามเข็มนาฬิกา (ไม่ต้องกดแรง)  หุหุ ไม่มีเหลือ!


ไม่ต้อง:ซื้อน้ำยากัดสงกัดสีหรอก...ใช้ของที่มีอยู่ก็สามารถขจัดคราบสีน้ำมันเหล่านั้นได้แล้ว!  ไม่เชื่อก็ดูผนังห้องน้ำชั้นสองบ้านผมซิ!


ผมพยายามปรับปรุงห้องน้ำชั้น ๒ เพื่อให้เด็กนักเรียนได้ใช้ แต่ดูเหมือนว่าจะใช้ได้อีกไม่นานแล้วมั้ง! 

Sunday, April 21, 2013

แผ่นดินไหวที่ลำปาง


เช้าวันนี้ เวลาประมาณ ๘ โมงผมบอกตัวเองว่า "เฮ้ย นี่มันแผ่นดินไหวนี่หว่า!"  แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ จนกระทั่งได้อ่านข่าวว่า...
เกิดแผ่นดินไหวที่ลำปาง ๔ ครั้งใน ๔ ชั่วโมง คือ ๐๘.๐๑ น.  (๑.๗ ริกเตอร์),   ๐๘.๐๙ น. (๓.๑ ริกเตอร์),  ๐๙.๔๓ น. (๒.๕ ริกเตอร์) และ  ๑๐.๕๒ น. (๑.๗ ริกเตอร์)  ศูนย์กลางอยู่ที่บ้านแม่แป้น หมู่ ๔ และหมู่ ๕ ตำบลนาแก อำเภองาว จังหวัดลำปาง  แผ่นดินไหวที่ำลำปางครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากแผ่นดินไหวที่เมืองหยาอาน อำเภอหลูซาน มณฑลเสฉวน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วัดแรงสั่นสะเทือนได้ ๖.๗ ริกเตอร์...

ขอนำภาพจาก chinanews.com มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูสักบานนึง เพื่อให้เห็นถึงความเสียหายอันเกิดจากแผ่นดินไหว  ที่เมืองจีนมีผู้เสีียชีวิตเกือบ ๒ ร้อยคน และบาดเจ็บนับหมื่น

ผมมีความเชื่อว่า ในอนาคตข้างหน้า ภัยพิบัติที่จะคร่าชีวิตของผู้คนและนำมาซึ่งความเสียหายอย่างมหาศาล ก็คือ แผ่นดินไหวแล้วตามมาด้วยอุทกภัย  มันคงยังไม่เกิดในช่วงที่ผมยังมีชีวิตอยู่ แต่ความเป็นไปได้อาจอยู่ในยุคลูก ๆ หลาน ๆ 

ช่างน่าเป็นห่วงเหลือเกินว่าประเทศไทยยังไม่มีขบวนการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมที่จะสอนและฝึกให้เยาวชนของเรารู้จักวิธีเอาตัวรอดและช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่เกิดภัยพิบัติ  

ไม่อยากบ่นมาก วันนี้แค่อยากรายงานเรื่องแผ่นดินไหวที่ลำปางเท่านั้นครับ...

Saturday, April 20, 2013

ซ่อมกระเบื้องปูพื้น ๑



วันนี้ผมตัดสินใจที่จะซ่อมกระเบื้องปูพื้นหน้าบ้านซึ่งส่วนหนึ่งแตกมาได้หลายปีแล้ว (ดูภาพ)

ผมนำเศษกระเบื้องตัวอย่าง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตระเวนหาซื้อแผ่นกระเบื้อง ไปดูหลายร้านแต่หาที่เข้ากันได้ไม่ได้เลย จนกระทั่งมีผู้แนะนำให้ไปดูร้านขายวัสดุก่อสร้างตรงใกล้ ๆ ห้าแยกหอนาฬิกา  ผมบึ่งรถไปทันที แม้จะหาที่ตรงกันเป๊ะไม่ได้ แต่ที่ร้านนี้ก็มีใกล้เคียงกันมากที่สุด เป็นกระเบื้องปูพื้นขนาด 12" x 12" ยี่ห้อ Duragres เกรด C (กล่องละ ๑๓๐ บาท)  ผมซื้อกลับมาแล้ว....


ลองนำออกจากกล่องมาเรียงเพื่อดูความเข้ากันได้ กระเบื้องใหม่ดูสีดูสดใสกว่า (คิดว่าพอใช้ ๆ ไปก็จะเก่าและเข้ากันได้อย่างสนิท)  พอดีเลย...ไม่ขาดไม่เกิน!  ผมต้องระวังไม่ให้แตก ไม่งั้นเดือนร้อนแน่!


พร้อมที่จะลงมือแล้วครับ  สิ่งแรกที่ต้องทำคือการนำกระเบื้องเก่าออกก่อน  เครื่องมือที่ใช้มีเพียง "ค้อน" และ "สายยางกับตะปูตอกคอนกรีต".... 


ผมใช้เวลาเกือบ ๒ ชั่วโมง นั่งกะเทาะกระเบื้องเก่าออก ที่ใช้เวลาค่อนข้างมากก็เพราะต้องทำด้วยความระมัดระวัง ค่อย ๆ สกัดออกทีละนิด ๆ ไ่ม่ทำให้กระเบื้องแผ่นที่ยังดีแตกอีก...



งานขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว....



ขั้นต่อไปคือต้องเทปูนอุดรอยแตกที่เห็นนั่นเสียก่อน...

แล้วจะมาเล่าต่อครับ...

Friday, April 19, 2013

จักรยาน Giant - New Spirit


ผมมีจักรยานยี่ห้อ Giant รุ่น New Spirit อยู่คันนึง ซื้อมาจากร้าน "ชัยธวัช" ซึ่งอยู่แถว ๆ ประตูเชียงใหม่ ในราคา ๓,๖๐๐ บาท (หรือไม่ก็ ๔,๐๐๐ บาท)  ผมเรียกมันว่า "เจ้ายักษ์"  แต่จำไม่ได้แล้วว่าซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่  ถ้าให้กะคร่าว ๆ ก็น่าจะอายุเกือบจะ ๓๐ ปีแล้วหละ 

ที่ซื้อจักรยานคันนี้ เพราะผมอยากจะทำเป็น touring bike ใช้ขี่ท่องโลกอีกครั้ง (ไม่รู้ว่าหวังเกินไปหรือเปล่า อิอิ) แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า สักวันหนึ่งผมอาจได้ปั่นเจ้ายักษ์ revisit มาเลเซียและสิงคโปร์  ถึงได้พยายามเก็บรักษามันมาจนถึงทุกวันนี้...

ไม่มีความรู้เกี่ยวกับจักรยาน.. ผมรู้แต่ว่า Giant เป็นจักรยานผลิตในไต้หวัน เห็นว่ามันสวยดีและราคาไม่ได้แพงเป็นหมื่น ๆ...ตอนซื้อผมไม่รู้หรอกว่าเฟรม (Frame) สีเขียวลูไซต์ของเจ้ายักษ์ทำด้วยอะไร?

ก่อนสงกรานต์ ครูหนิงมาช่วยซ่อมจักรยานพับเพื่อให้ผมได้นำไปปั่นที่เชียงแสน ก็เลยมีโอกาสได้เห็นโฉมเจ้ายักษ์  ผู้เีชียวชาญเรื่องจักรยานร่างเพียวลมบอกผมว่าเฟรมของจักรยานคันนี้เป็นโคโมลี่  ผมซึ่งไม่รู้มาก่อน (ฮา) เกิดความสงสัย จึงต้องเข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ได้ความว่า...
Chromoly คือเหล็กอัลลอยที่มีส่วนผสมของ Chromium, Molybdenum, Carbon, Manganese   และโลหะอื่น ๆ (เรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า Chrom Molybdenum Steel Alloy) ทำให้มีความแข็งแรงมากขึ้น และทนต่อการกัดกร่อน   Chromoly ถือว่าเป็นโลหะที่นิ่มที่สุด (???)
ด้วยความสนใจ ผมสำรวจตรวจดูบนเฟรมของเจ้ายักษ์ เห็นมีตัวเลข 3354 บนสติ๊กเกอร์ซึ่งยังคงติดอยู่  ผมเข้าไปค้นหาข้อมูลอีก พบว่า 3354 เป็น industry code หมายถึง bar made by extruding purchased Aluminium  ผมก็งงเหมือนกัน!!  ได้แต่คิดว่าเจ้า 3354 เป็นรหัสสำหรับท่อโลหะที่นำมาใช้แทนโครงอลูมิเนียมซึ่งเคยเป็นที่นิยมใช้กัน (เรื่องนี้คงไม่มีใครให้ความกระจ่า่งได้เท่ากับผู้เชีียวชาญด้านการผลิตโครงจักรยาน)

นอกนั้นผมยังเห็นข้อความว่า  "Special designed for Sport" และ  "handmade by GIANT"  อืมมมม์...ผมเพิ่งจะรู้ว่าเจ้ายักษ์ของผมก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกันนะ   ถ้ามีตังค์...ผมจะขอครูหนิงช่วยแต่งองค์ทรงเครื่องและปรับปรุงเพื่อให้ "เจ้ายักษ์" ได้เป็นจักรยานที่ดูดีและมีสมรรถนะ (Competency) ตามชื่อของมัน

เก่าแก่แต่ยังทรงคุณค่าทางจิตวิญญาณครับ

Thursday, April 18, 2013

ปี๊บเก่าอย่าทิ้ง!


ในบล็อกช่างเหอะ ผมเคยเขียนเรื่อง "วิธีตากกล้วย"  และ "วิธีเตรียมเสบียงก่อนออกเดินทาง"   ก็ต้องยอมรับว่า "กล้วยตาก"  ช่วยให้ผมเดินทางท่องโลกได้อย่างราบรื่นมาแล้วหลายครั้ง... 

คนสูงวัยที่ต้องกินยาเป็นประจำ บางครั้งไม่มีอะไร ก็ได้เจ้ากล้วยตากนี่แหละ กินกับขนมปังโฮลวีทและแลคตาซอยเป็นอาหารเช้า ทำให้สามารถกินยาหลังอาหารได้ บางครั้งอยู่บนรถโดยสารก็อาศัยกล้วยตากช่วยบรรเทาความหิวไปได้....


ลงทุนซื้อกล้วยน้ำว้ามา ๔๐ บาท สามารถทำกล้วยตากได้อย่างเหลือเฟือ สำหรับผมมันเป็นเสบียงที่คุ้มค่าที่สุดก็ว่าได้!

ผมไปหลวงพระบางก็เห็นชาวบ้านนำกล้วยมาวางตากไว้ข้างถนน อย่างที่เห็นในภาพ...


ตอนเดินเข้าไปเที่ยวในวัดหมื่นนาฯ  ผมก็เห็นวิธีตากกล้วยของคนลาว  เค้าใส่ถาดวางกับพื้นดินเลยเชียว


ข้าวเหนียวเหลือกินก็นำมาตาก...


คิด ๆ ดูแล้ว การตากกล้วยของผมน่าจะดีกว่าของลาวนิดนึง ตรงที่ว่ามันอยู่สูงและมีตาข่ายกันแมลงวัน...


ทีนี้มาพูดถึง "ปี๊บ" กันหน่อย  นอกจากจะใช้คลุมหัว  (สำหรับผู้นำบางคน) แล้ว ก็ยังสามารถนำมาดัดแปลงทำตู้เป็น "ตู้อบพลังแสงอาทิตย์" ได้ด้วย  (ตามคำแนะนำของคุณเมธี)

ผมเก็บปี๊บเก่าเอาไว้เป็นปี รอจนกระทั่งมีสีน้ำมันสีดำที่เหลือจากงานช่าง...จึงได้ลงมือทำ  ผมใช้ที่เปิดกระป๋องตัดด้านที่เป็นฝาออก แล้วทารอบนอกด้วยสีดำ


แต่งขอบปี๋บโดยรอบให้ดี อย่าให้มีคม แล้วล้างให้สะอาด.ก็ได้ตู้อบแล้ว!.

ผมทดลองใช้ทำพริกแห้งก่อนเลย....


สีดำจะดูดความร้อนเข้าไปภายในปี๊บ ทำให้พริกขี้หนูสดที่ใช้ปี๊บครอบไว้กลายเป็นพริกแห้งได้ภายในเวลาไม่กี่วัน  (ขึ้นอยู่กับแดดจัดหรือไม่จัดด้วย)  ความจริงพริกแค่เนี้ย ถ้าจะตากกับแสงแดดโดยตรงก็ได้ แต่การใช้ปี๊บทำให้กันผุ่น (บ้านผมฝุ่นเยอะ)   และที่ผมชอบมากที่สุดคือ เราไม่ต้องคอยกังวลว่าจะลืมเก็บแล้วปล่อยให้โดนฝน  หุหุ ผมทิ้งมันไว้อย่างนั้นเลย  แกล้งทำเป็นลืม...พอไปเปิดดูอีกทีพริกสดกลายเป็นพริกแห้งไปซะแล้ว!

เพื่อน ๆ มีปี๊บเก่าอย่าทิ้งเด้อ  ถ้าไม่เอาไว้ใช้คลุมหัว ก็เอามาทำตู้อบแสงอาทิตย์ได้...อิอิ! 

Tuesday, April 16, 2013

คนขับแท็กซี่แห่งเมืองย่า่งกุ้ง


เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ปีที่แล้ว  ผมได้คุยไว้ในเรื่อง "ท่องพม่า - หาที่พักในย่างกุ้ง" ว่า... 
วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ผมเดินทางถึงสนามบินย่างกุ้งเวลาประมาณ ๑๘.๕๐ น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากว่าเมืองไทยครึ่งชั่วโมง   ผ่าน ตม. แล้วไปยืนรอรับเป้ที่สายพานลำเลียง  รอไม่นาน…เป้ก็เคลื่อนออกมา  ผมรีบคว้าขึ้นสะพายหลังแล้วเดินออกทางประตูหน้า!  มีคนมากมา่ยยืนรออยู่  บ้างส่งเสียงดังว่า “แท๊กซี่ ๆ”  ผมหยุดถามว่าไป Sule Pagoda เท่าไหร่?  คำตอบคือ “10 dollars”  ไม่ต่อความยาวสาวความยืด…ผมรีบเดินออกไปที่ถนน  มีแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมาพอดี เขาชะลอแล้วหยุด เราตกลงราคากันได้ที่ $6   พอผมขึ้นนั่ง…คนขับก็เหยียบคันเร่ง พารถทะยานออกจากสนามบินทันที!   พ้นจากสนามบิน…ฝนก็เริ่มตก!
สารถีผู้พาผมไปส่งยังพระเจดีย์สุเลที่ได้กล่าวถึงนั้น มีชื่อว่า Joseph เขาเป็นหนุ่มพม่าที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว...

วันนี้ Joseph ได้ส่งภาพ "Happy Thingyan"  และข้อความจาก iPad ของเขามาให้ผมทางอีเมล...


ผมรู้สึกทึ่งไม่น้อยที่เห็นว่าแค่ผ่านไปเพียง ๑๐ เดือน... ตอนนี้คนขับแท็กซี่ของผมมี iPad ใช้แล้ว  แต่ก็คงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเมื่อพม่าเปิดประเทศ  มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปไม่ขาดสาย  Joseph คงจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ การซื้อ iPad สักเครื่องเพื่อต่อเน็ตและใช้ทำธุรกิจของตัวเองก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าลงทุน...

แต่ที่ผมชอบมาก ๆ ก็คือ ภาพถ่าย "สุขสันต์วันสงกรานต์" จากพ่อสารถี Joseph   มันเป็นภาพที่ลงตัวไปซะหมด ไม่ว่าจะเป็นแสงสี  ตำแหน่งจุดยืนของหนุ่มสาวที่กำลังฉีดน้ำ ความโค้งของสายยางสีเขียว  ทิศทางของสายน้ำ ละอองน้ำ ตำแหน่งของรถปิคอัพและผู้คนที่อยู่บนรถ ตลอดจนป้ายโฆษณาที่เป็น background   เพื่อน ๆ ลองดูสิครับ!!

ผมคิดว่า Joseph นอกจากจะเป็นคนขับแท็กซี่ที่พูดจาดีแล้ว ยังถ่ายภาพได้สวยอีกด้วย!!  ใครได้ไปเที่ยวย่างกุ้ง จะเรียกใช้บริการของเขาก็ได้นะ...