Tuesday, May 28, 2013

ทดลองสแกนฟิล์ม


เมื่อวานนี้ผมเขียนเล่าเรื่อง "ความผิดพลาดกับสแกนเนอร์ตัวใหม่..." ให้เพื่อน ๆ ได้อ่านแล้ว โชคยังดีที่เครื่องไม่พังไปซะก่อน ทำให้ผมมีโอกาสทำการทดลองสแกนฟิล์มมาให้ดูกัน  นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้มีประสบการณ์กับการสแกนฟิล์ม  ฝันเพิ่งจะเป็นจริงในวันนี้เอง!

หลังจากเปลี่ยน adapter ตัวใหม่และหา driver มาลง เครื่องสแกนก็ทำงานได้  ปราศจากคู่มือ...ผมต้องเรียนรู้วิธีใช้ด้วยการลองผิดลองถูก  ไปค้นหาฟิล์มเก่าในลิ้นชักมาได้ ชิ้นแรกเป็นฟิล์มสไลด์ที่ไม่มีกรอบ ผมจำได้ว่าเป็นภาพ "รถบุปผชาติ"  ในงานไม้ดอกไม้ประดับที่จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่เท่าไหร่ผมบอกไม่ได้  (รู้แต่ว่าผมเก็บฟิล์มนี้ไว้นานกว่า ๒ ทศวรรษ)  ถ่ายด้วยกล้องยี่ห้ออะไรผมก็จำไม่ได้เช่นกัน  ตอนนั้นกำลังเห่อใช้ฟิล์มสไลด์...ผมไปดักถ่ายภาพขบวนแห่ ที่หน้าสถานีรถไฟ ถนนเจริญเมืองตั้งแต่เช้า เดินถ่ายภาพตามขบวนไปเรื่อย ๆ จนถึงสะพานนวรัฐ...

เอาล่ะ ผมจะลองใช้เจ้า Epson Perfection 1670 สแกนฟิล์มเก่าใบนี้ให้เพื่อนดูนะ...


ไชโย!! สำเร็จแล้ว แม้จะไม่มี 5 mm adapter สำหรับสแกนฟิล์ม...ผมก็วางฟิล์มสไลด์ลงในตำแหน่ง แล้วทดลองสแกน ผลออกมาใกล้เคียงกับต้นฉบับเลยครับ... 

อย่างงี้ก็แจ๋วดิ!  ด้วยความดีใจ...ผมนำฟิล์มสไลด์อีกชิ้นหนึ่งขึ้นมาลองสแกนอีก คราวนี้เป็นฟิล์ม positive ที่มีกรอบเรียบร้อย ผมวางตรงจุดเดิม ตั้งค่าต่าง ๆ แล้วคลิก SCAN   สแกนแบบ photo ต้องใช้เวลามากกว่าสแกนแบบ document  ได้ผลออกมาดังนี้...


เป็นภาพ "แม่น้ำน่าน" จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ผมถ่ายไว้ตั้งแต่สมัยทำงานเป็นมืออีเลคโทนอยู่ที่ "วิวัฒน์คอฟฟี่ซอฟ" โรงแรมวิวัฒน์!  

โอเคแล้ว สำหรับสแกนฟิล์มสไลด์ ตอนนี้อยากทดสอบกับฟิล์ม negative ขาวดำดูบ้าง ผมไปค้นฟิล์มเก่ามาได้ หุหุ ไม่น่าเชื่อว่ายังคงมีอยู่ เป็นฟิล์มขาวดำที่ถ่ายด้วยกล้อง Rollei 35  ในช่วงที่ผมนำจักรยาน "อามุย" ลงไปขี่ในกรุงเทพฯ   


ภาพขาวดำ ๒ บานที่เห็นได้มาจากการสแกนฟิล์มนะครับ....


เหลืออีกอย่างเดียวคือการสแกนฟิล์มสี negative   ผมไปหาฟิล์มมาได้แล้ว...


ทดลองดูบานนึงก่อนนะ สแกนออกมาแล้วได้ประมาณนี้....


วางฟิล์มกลับด้าน ผลก็เลยเหมือนภาพในกระจกเงา

ผมคงต้องศึกษาวิธีใช้งานและหาทางทำแผ่น adapter ที่จะใช้วางฟิล์ม เพื่อจะได้ภาพที่ดีกว่านี้...

Monday, May 27, 2013

ความผิดพลาดกับสแกนเนอร์ตัวใหม่...

สมัยก่อนผมถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์ม  ทุกวันนี้ก็ยังเก็บฟิล์ม Negative (ทั้งแบบสีและขาวดำ) รวมทั้งฟิล์มสไลด์เอาไว้  ที่ทิ้งไม่ได้คือฟิล์มสไลด์ที่บันทึกภาพการเดินทางไปประเทศปากีสถาน กรีซ อิตาลี  สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรีย เยอรมัน เบลเยี่ยม และอังกฤษ  โดยมีความหวังว่าสักวันหนึ่งผมอาจจะมีสแกนเนอร์ที่สามารถสแกนฟิล์มได้ ถึงวันนั้นผมจะได้สแกนฟิล์มต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเก็บเป็นไฟล์ภาพไว้ในคอมพิวเตอร์...

ทุกครั้งที่ผมเข้าเว็บประมูล ผมจะต้องคอยดูว่ามีผู้นำโฟโต้สแกนเนอร์ชนิดที่สแกนฟิล์มได้ออกมาให้ประมูลหรือไม่  เท่าที่จำได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมได้ประมูลสู้กับเค้ามาหลายครั้งหลายครา แต่ก็แพ้ทุกครั้ง (เพราะใจผมไม่ถึง ถ้าเลย ๒ พันบาท...ผมก็ยอม) บางครั้งรอจนนาทีสุดท้าย...ผมก็เคาะสู้ผู้ประมูลคนอื่นไม่ได้!  แต่ก็ไม่สิ้นหวังนะครับ ผมพยายามเข้าไปดูอยู่เสมอ ๆ ว่ามีสแกนเนอร์แบบที่ใช้สแกนฟิล์มอีกหรือไม่   เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เจอประกาศอีก...


Product : แสกนเนอร์ Brand : Epson Model : GT-8400UF/Perfection 1670 PHOTO ของเหมามาจากบ้านฝรั่งครับผม รายละเอียด - สแกนเนอร์ รุ่นใหญ่ สแกนฟิล์มได้ ทดลองแล้วใช้งานได้ดี อุปกรณ์ครบชุด ตัวอแดปเตอร์เป็นไฟ 110V ต้องใช้ ตัวแปลงจาก 220V เป็น 110V ซะก่อน (ถ้าต้องการ อแดปเตอร์แปลงไฟ คิดเพิ่มจากที่ประมูลได้ 150 บาท) ถ้าบ้านใครมีอยู่แล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม  ใครกำลังมองหา เชิญบิดครับ 


ผมอยากได้จริง ๆ นะ  เพราะเคยไปติดต่อร้านถ่ายรูปที่รับสแกนฟิล์ม เค้าคิดผมหลายพันบาท ชีวิตของผมคงจะมีความสุขไม่น้อยกับการนำฟิล์มเก่า ๆ มาสแกนเก็บเป็นไฟล์ jpg เอาไว้ นอกจากนั้นแล้ว เจ้าสแกนเนอร์ระดับ photo ยังสามารถสแกนโน้ตเพลงหรือเอกสารและรูปถ่ายได้ชัดเจนกว่าแบบธรรมดาอีกด้วย  (ตามภาพตัวอย่างที่ผู้ขายทดสอบให้ดู)



ผมเข้าไปประมูลสู้อีกเหมือนทุกครั้ง  พอดีได้ไปเล่นดนตรีงานนอก ทำให้มีรายได้พิเศษพอจะนำไปใช้ประมูล แต่ผมก็ตั้งเป้าไว้ไม่เกิน ๒ พันบาทอยู่ดี   คราวนี้โชคดีครับ ความฝันเป็นจริง ผมสามารถประมูลเจ้า Epson Scanner มาได้ในราคา ๑,๕๕๐ บาท เมื่อรวมค่าจัดส่งและค่าโอนเงินแล้ว ผมต้องจ่ายทั้งสิ้น ๑,๖๖๘ บาท เพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่อยู่ในฝัน!   สินค้าถูกส่งมาถึงแล้ว ผู้ขายได้บรรจุกล่องให้เป็นอย่างดี   ผมโล่งใจที่ไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย...รีบแกะออกดูด้วยความตื่นเต้น!




ด้วยความชราประกอบกับความตื่นเต้นกับของเล่นใหม่ ทำให้ผมลืมที่ผู้ขายเขียนบอกว่า "ตัวอแดปเตอร์เป็นไฟ 110V ต้องใช้ ตัวแปลงจาก 220V เป็น 110V ซะก่อน"   หุหุ ผมดันเสียบปลั๊กทดลองทันที!!  เครื่องไม่ทำงาน  เวลาผ่านไปหลายนาที...ผมถึงนึกขึ้นมาได้ว่ามันต้องใช้หม้อแปลง!!!     หมดกัน...ความฝันของผม!!



อยากจะเขกหัวตัวเองสัก ๒๒๐ โป๊ก...ผมยก adapter (Epson ด้านขวาในภาพ) ขึ้นมาดม มีกลิ่นไหม้จาง ๆ เข้าสัมผัสกับเยื่อจมูก บอกให้รู้ว่า "เจ้งแล้ว(โว้ย)"   ผมดูที่ข้างตัว adapter เห็นเขียนว่า INPUT: AC 100-120 V  OUTPUT DC 15.2 V

ต้องหา adapter ตัวใหม่มาใช้แทน...ผมรีบรื้อกล่องสัมภารกโดยเร็ว ค้นหา adapter เก่าขนาดต่าง ๆ ที่เก็บไว้ออกมาดู  มีหลายตัว...แต่ใช้ไม่ได้  เจ้า HP เป็นของ note book .ให้ไฟ 18.5 V  (เกินไปประมาณ 3 V)  เจ้า Canon adapter ตัวใหญ่ก็ให้ไฟ 13.5 V (น้อยไปแค่ 1.7 V เอง)  อีกตัวนึงใหญ่เบ้อเริ่มให้ไฟสูงถึง 30 V  ผมคอตก...ไม่อยากเสี่ยงนำมาใช้!

ค้นแล้วค้นอีก ในที่สุดผมก็เจอ adapter ยี่ห้อ Acer  (ในภาพ - ตัวซ้าย) ที่ให้ไฟ 16 V, 0.9A  (สูงไปแค่ 0.8 V เอง)   อย่างนี้ต้องใช้ได้แน่ ๆ (สามารถเสียบไฟ 220 V ได้เลย)  ผมลองเสียบไฟเข้าเครื่องสแกนเนอร์ด้วยใจระทึก!   หลอดไฟติดสว่าง  (แสดงว่าไฟเข้าตามปกติ)  แต่เครื่องก็ยังไม่ทำงาน!!

ผมโล่งใจที่เห็นว่า adapter ใช้ได้ และเครื่องยังไม่พัง! ไม่รู้สึกหนักใจกับปัญหาที่เผชิญหน้า เพราะรู้ว่าถ้าได้ driver มาลง เครื่องก็จะทำงานอย่างแน่นอน...

ไม่มี CD สำหรับติดตั้ง...ผมต้องเข้าไปค้นหา driver เอาเอง รู้สึกว่าหายากพอสมควร แต่ก็ได้มาในที่สุด
หลังจากดาวน์โหลด driver มาติดตั้ง...เจ้าสแกนเนอร์ก็ทำงาน!!

ผมรู้สึกดีใจยิ่งนัก!!.

Sunday, May 26, 2013

ซ่อมกล้องแก้ขัด...

ใน FB Trip - การสิ้นสุดที่มาก่อนกำหนด ผมได้เล่าเกี่ยวกับอาการเดี้ยงของเจ้ากล้อง Sony Cyber-shot DSC-P200 ที่ว่าเปิดสวิชให้กล้องทำงานไม่ได้  ผมจึงตัดสินใจเลิกเดินทางไปหลวงน้ำทาและเมืองสิง  ต้องเปลี่ยนจากการนำจักรยานพับใส่รถสองแถวไปเชียงของ เป็นนั่งรถเมล์เขียวจากเชียงแสนไปลงที่สถานีขนส่งพะเยา...



ไม่ทราบว่าเพื่อน ๆ ได้อ่านที่ผมเขียนและลงรูปประกอบ จะมีใครที่มีคำถามในใจบ้างว่า "กล้องเสียแล้วทำไมถึงยังมีรูปลงให้ดูได้อีก"  คำตอบก็คือ...ผมใช้วิชาช่างเหอะ ทำการซ่อมแก้ขัดไปก่อนเท่านั้นเอง!

นี่ครับ...กล้องที่เปิดใช้งานไม่ได้เป็นเช่นนี้...


ตรงปุ่มสวิชซึ่งอยู่ข้าง ๆ ชัตเตอร์ แต่ก่อนมันเคยมีพลาสติกโผล่ขึ้นมาเป็นปุ่มให้กด ตอนที่ยังดี..กดเพียงเบา ๆ กล้องก็ทำงาน แต่เช้าวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๖ ผมกดยังไง ๆ เจ้ากล้องหัวดื้อก็ได้แต่เงียบเฉย  ทำไปทำมา...เจ้าพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ ด้านบนก็หลุดออก!  จนเป็นอย่างที่เห็น...


พอดีมีปากกาลูกลื่นติดตัวไปใช้จดบันทึกการเดินทาง ผมจึงนำออกมาใช้เป็นตัวช่วยเปิดสวิช (ดังที่เห็นในภาพ)


ถ้ารู้จังหวะมือ ก็จะสามารถเปิดสวิชให้กล้องทำงานได้ครับ...


อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงไม่สะดวกใช้อยู่ดี เพราะกว่าจะบันทึกภาพได้...ผมต้องนำปากกาออกมากด บางครั้งก็ไม่ตรงจุด  ชักช้าเสียเวลา  บางทีมัวแต่เล็ง กล้องดันปิดโดยอัตโนมัติก่อนที่จะได้กดชัตเตอร์!   อีกประการหนึ่ง...เจ้าตัวชัตเตอร์ก็กดยากซะด้วย ถ้ากดเบา ๆ มันก็ไม่ทำงาน ผมต้องใช้กำลังนิ้วเป็นพิเศษ!!

แม้ว่าพอจะใช้ถ่า่ยภาพได้ แต่ก็คงไม่ใช่สำหรับการท่องเที่ยวที่ต้องอาศัยความรวดเร็วในการบันทึกภาพ

ผมซ่อมกล้องตัวนี้แบบแก้ขัด เพื่อใช้บันทึกภาพการเดินทางจากเชียงแสนกลับสู่ลำปางเท่านั้นครับ!


งั่ม ๆ คงต้องประมูลกล้องคอมแพคที่พกพาได้สะดวก ๆ (มีเมมมากกว่าตัวนี้) มาไว้ใช้สำหรับการเดินทางท่องโลกครั้งต่อไปอีกสักตัวแล้วหละ!

Saturday, May 25, 2013

ซื้อสีกี่ถังดี?

กำลังจะย้ายไปอยู่อำเภอห้างฉัตร อิอิ ก็ยังไม่พ้นที่จะเป็นคนลำปางอยู่ดี  ผมขายอาคารพาณิชย์ ๒ คูหาไปซื้ออาคารพาณิชย์ ๑ คูหา สักษณะตามที่เห็นในภาพ...


ตึกเก่าสร้างมาแล้วประมาณ ๑๐ ปี ผมคงต้องทาสีใหม่ จึงเป็นโอกาสเหมาะที่่ผมจะได้เริ่มศึกษาเรื่องการทาสีแล้วนำมาเล่าสู่เพื่อน ๆ ในบล็อก "ช่างเหอะ"

เริ่มต้นด้วยการสารภาพก่อนว่า ผมเคยใช้สีน้ำมันทาพื้นปูน แล้วมันก็ดูดีนะ ไม่ว่าจะเป็นทาขั้นบันได ทาพื้นบ้าน หรือทาผนังห้องน้ำ  แต่ถ้าไปค้นดูในเว็บต่าง ๆ เค้าจะบอกว่าเป็นการใช้สีผิดประเภท!  ในเว็บ bedroomstyle.com  กล่าวไว้ว่า...
สีน้ำใช้กับผิวปูนและคอนกรีต ในขณะที่สีน้ำมันใช้กับผิวไม้และโลหะ ดังนั้นผิวปูน ผิวคอนกรีต รวมทั้งผิวใดๆ ที่ไม่ใช่ไม้และโลหะ เช่น ผิวกระดาษของแผ่นยิบซั่มก็เหมาะที่จะใช้สีน้ำ สำหรับผิวไม้และโลหะ ที่หมายถึง เหล็ก อะลูมิเนียม หรือโลหะใดที่ปรากฎอยู่เป็นองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมที่จำต้องทาสีทับแล้ว สีน้ำมันก็จะเป็นสีที่เหมาะที่สุด
พอดีเพื่อนชาวออสซี่คนหนึ่งเคยแนะนำให้ใช้สีน้ำมันผสมน้ำมันสนทางพื้นปูน ผมก็ทำตาม  ผ่านมาแล้ว ๔ - ๕ ปี มันก็ยังดูดีอยู่  ผมรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน!


เอาเถอะ...ต่อนี้ไปผมจะทำตามที่ผู้เชี่ยวชาญเค้าบอกไว้  คือใช้สีน้ำหรือที่เรียกว่าสีพลาสติกทาพื้นปูน  วันนี้ผมออกไปสอบถามร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้างที่เคยไปซื้อของอยู่บ่อย ๆ ได้ความรู้เรื่องการทาสีมาอีกเยอะเลย  (ขอบคุณครับ)


ในบล็อก "บ้านแสนรัำก" ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความจำเป็นที่ต้องใช้ "สีรองพื้นปูนเก่า" ไว้ดังนี้...
"การทาสีบนอาคารเก่านั้น ใช่เพียงแต่การซื้อสีใด ๆ มา แล้วก็นำมาทาทับลงไปบนสีหรือเนื้อปูนเก่าได้เลยน่ะนะคะ เพราะความเสื่อมสภาพของสีนั้น จะทำให้เกิดฝุ่นผงบนเนื้อปูนอันอาจจะทำให้การยึดเกาะของสีที่ทาทับลงไปใหม่ไม่อาจติดได้ทนนานแนบสนิท ดังนั้น การลงสีรองพื้นปูนเก่าก่อนหนึ่งชั้น จึงถือเป็นการเตรียมพื้นผิวที่จะทำการทาสีใหม่ ให้มีความพร้อมเพื่อให้สีที่ทาทับหน้าลงไปใหม่สดใสไปอีกยาวนาน"
ผมเข้าไปค้นหาข้อมูลในเว็บต่าง ๆ แล้ว พบว่า สี ๑ ถัง (๕ แกลลอน) ใช้ทาได้ ๗๕ ตารางเมตร ทีนี้ผมก็อยากจะรู้ว่าผมจะต้องใช้สีกี่ถังสำหรับการทาอาคารพาณิชย์หลังที่ผมกำลังจะย้ายเข้าไปอยู่  ก่อนอื่นต้องคิดก่อนว่าบ้านผมมีเนื้อที่ ๆ จะต้องทาสีกี่ตารางเมตร?

ในบล็อก "บ้านไทยดีดี"  ให้ข้อมูลไว้ว่า...
"สี ๑ ถัง (๕ แกลลอน) ทาได้ ๑๕๐ ตารางเมตร น้ำยารองพื้นปูนเก่า ๑ ถัง (๕ แกลลอน) ทาได้ ๑๕๐ ตารางเมตร  ทาสีทับหน้า ๒ เที่ยว น้ำยารองพื้น ๑ เที่ยว สี ๒ ถัง ใช้น้ำยารองพื้น ๑ ถัง ทาสีได้ ๑๕๐ ตารางเมตร" 

ผมลองคำนวณแบบคร่าว ๆ ดูแล้ว พื้นที่ภายในที่จะต้องทาสีมีอยู่ประมาณ ๔๖๐ ตารางเมตร


ดังนั้นภายในอาคาร ผมจะต้องใช้สี ๖ ถัง ส่วนภายนอก ทั้งด้านหน้าและหลังอาคารต้องใช้สีอีก ๒ ถัง


เหลือเท่าไรก็จะเอาไปทาบนดาดฟ้า....


โห ต้องใช้สีรองพื้นปูนเก่า ๔ ถัง  ผมไปสอบถามมาแล้ว ราคาถังละ ๑,๗๖๐ บาท  หุหุ รวม ๗,๐๔๐ บาท

ทาสีใหม่ต้องใช้เงินเป็นหมื่นเลยหรือเนี่ย?

Friday, May 10, 2013

ไปรษณียบัตรจากหิมาลัย...

เย็นวานนี้...หลังจากสิ้นสุดทริปไปน้ำตกแม่แก้ อำเภองาว  ผมกลับเข้าบ้านก็ได้ยินเสียงพี่ชายตะโกนบอกว่ามีไปรษณียบัตรวางไว้ให้บนหลังตู้เย็น!  



ผมรีบไปหยิบมาดู พอเห็นว่าเป็นไปรษณียบัตรจากคุณเมธี ซึ่งเขียนส่งมาจากเมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ผมก็รู้สึกดีใจและโล่งอก...

รู้สึกดีใจที่ได้รับไปรษณียบัตรจากคุณเมธี และที่ผมโล่งใจก็เพราะว่า...หลังจากไม่ได้เห็นคุณเมธีบน facebook มานานหลายเดือน (เข้าใจว่าอาจถูก unfriend ตอนที่ผมระงับการใช้ facebook ไปพักนึง) ผมเข้าไปคลิก friend request ไว้นานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากคุณเมธีสักที นานเข้า ๆ ผมก็เลยสงสัยว่าได้ทำให้คุณเมธีขัดเคืองด้วยเรื่องอันใดหรือเปล่า?











พอได้อ่านที่คุณเมธีเขียนว่า "ผมข้ามหิมาลัยจากยูนนานมาเสฉวน ผ่านความสูง 4,090 m. เพื่อมาส่ง PC ฉบับนี้ถึงลุงน้ำชาด้วยความคิดถึง..."  เจ้าภูเขาซึ่งอาจถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่อยู่ในอกก็ถูกยกออก!

ขอบคุณมาก ๆ ครับ ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเป็นกังวลอีกแล้ว เหลือแต่ความอิจฉาว่าคนอะไรถึงได้ท่องโลกได้สุด ๆ ถึงขนาดนั้น!!!

Wednesday, May 08, 2013

เปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ด้วยตัวเอง

เจ้า "ฝันเฟื่อง" แมงกะไซค์  Honda Dream สุดเลิฟของผม ส่งเสียงดัง "แก๊ก ๆ" ขณะวิ่งมาได้เป็นเดือน ๆ แล้ว ปกติผมจะพามันไปหานายช่างเจ้าประจำซึ่งมีร้านซ่อมอยู่แถว ๆ ปากทางเข้าบ้านสบตุ๋ย  (จำได้ว่าผมเคยเขียนถึงช่างผู้นี้ ไว้ในบล็อกเรื่อง  "พอใจในความพอเพียง"!  เชิญคลิกอ่านได้ ที่นี่)


หลายเดือนมาแล้วที่ผมไม่เห็นเค้าเปิดร้าน ผมจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ด้วยตัวเอง  เมื่อวานนี้ผมไปซื้อน้ำมันเครื่องมาเตรียมไว้ ต้องใช้น้ำมันเครื่องสำหรับรถ ๔ จังหวะ ตอนแรกไปที่ปั้มน้ำมันเชลล์ เค้ามีขนาด ๐.๘ ลิตรจำหน่ายในราคา ๙๐ บาท ผมไม่ซื้อ...คิดว่าไปซื้อที่ร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์หน้าโรงเรียนลำปางกัลยาณีดีกว่า

ที่นั่นเจ้าของร้านแนะนำให้ใช้น้ำมันเครื่อง Max - Speed (ขนาด ๑ ลิตร) ราคา ๘๕ บาท พอรู้ว่าจะนำไปเปลี่ยนเอง เค้าก็ลดราคาให้อีก ๑๐ บาท....


ลงมือกันเลยครับ เริ่มต้นด้วยการนำขวดพลาสติกใส่น้ำดื่มขนาด ๖ ลิตรที่ใช้แล้วมาตัด (ดังภาพ) ผมจะเอาไปรองน้ำมันเครื่องที่ถ่ายออกมา เพื่อน ๆ จะใช้ภาชนะอื่นก็ได้นะ...


เปิดฝาปิดที่เติมน้ำมันเครื่องออกมาด้วยการหมุนทวนเข็มนาฬิกา...


เห็นมั้ยครับ...น้ำมันเครื่องแห้งจริง ๆ ด้วย!  อย่างเนี้ย...ขืนขี่ไปนาน ๆ เครื่องก็พังได้!!


ผมก้มลงดูข้างใต้เครื่องยนต์ เห็นหัวสกรูที่จะต้องคลายออกเพื่อให้น้ำมันเครื่องเก่าไหลออกมา...


ใช้กุญแจแหวนไข(ทวนเข็มนาฬิกา) จับให้กระชับ ออกแรงหน่อย พอคลาย..ก็ใช้มือหมุนออกได้!


อย่าลืมนำภาชนะที่ทำไว้เข้าไปรองรับน้ำมันเครื่องที่ไหลลงมาด้วยนะครับ.... 



ไปทำงานอย่างอื่นก่อน ปล่อยให้น้ำมันเครื่องเก่าไหลออกจนหมดดีแล้ว จึงค่อยขันสกรูปิดตามเดิม!


ข้อควรระวังคือ ต้องนำเจ้าน้ำมันเครื่องเก่าออกวางไว้ห่าง ๆ ตัว จะได้ไม่ไปโดนมันคว่ำซะก่อน!!!


จากนั้นก็เปิดฝาเจ้าแมกซ์ นำมาเติมลงไปจนหมด ถ้าเพื่อน ๆ มีกรวยพลาสติกก็นำมาใช้ แต่ช่างเหอะมักง่าย...ไม่ดีเลย  หุหุ นำกระดาษแข็งมาทำเป็นกรวย




เรียบร้อยแล้วครับ  ผมวัดระดับน้ำมันเครื่องอีกครั้ง...พอดีเลย!  ปิดฝาให้เรียบร้อยแล้วใช้ผ้าทำความสะอาดคราบน้ำมันให้หมด  อ่อ....กระป๋องเปล่าอย่าทิ้งนะ  ให้นำกลับไปใส่้น้ำมันเครื่องดำ ๆ ที่ถ่า่ยออกมา  จะได้เก็บเอาไว้ใช้ทาไม้ระแนงเพื่อกันปลวก!!

เปลี่ยนน้ำมันเครื่องด้วยตนเอง นอกจากจะประหยัดตังค์ ๑๐ บาทแล้ว ยังได้วานิชดำไว้ลงไม้อีกกว่าครึ่งลิตร อิอิ!

Tuesday, May 07, 2013

DogGang.com ยังคงอยู่...

เมื่อวันที่ ๒๕ เดือนที่แล้ว... ผมเขียนถึง "อาจารย์กิติพันธุ์ ปุณกะบุตร" ไว้ในบล็อกเรื่อง "คิดถึงอาจารย์หมู"  กล่าวว่า "ไม่รู้ว่าทุกวันนี้อาจารย์หมูสบายดีหรือเปล่า?  โรงเรียนดนตรีแถวท่ามะโอยังเปิดอยู่หรือไม่?  ผมเห็น faccbook ของ DogGang ไม่เคลื่อนไหวมานานแล้ว"



วันนี้ผมได้ขี่จักรยานยนต์เข้าเมือง จึงถือโอกาสแวะไปดูที่อาคารพาณิชย์ราชพัสดุ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนดนตรี DogGang.com    ประมาณ ๙ โมงครึ่ีงเห็นจะได้  ผมเห็นประตูหน้ายังปิดอยู่...


ผมรู้สึกดีใจที่เห็นว่า DogGang  ยังคงไม่หนีไปไหน!  มีรถยนต์ป้ายทะเบียนกรุงเทพจอดอยู่...น่าจะเป็นรถของอาจารย์หมู!


เข้าไปยืนชิดกระจก ผมเพ่งสายตามองเข้าไปเห็นถุงขนมขนาดใหญ่ ๒ ถุงวางไว้ตรงทางเข้า...


มองไปที่โต๊ะ reception  ยังมีรายชื่อวิชาและอัตราค่าเรียนตั้งอยู่...



ผมเห็นแผ่นกระดาษเขียนว่า DogGang By หมู McIntosh ติดอยู่ที่กระจก...


ด้านหน้ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่ ร่องรอยการใช้งานเมื่อคืนก่อนยังปรากฏให้เห็น.... 


ผมมองผ่านกระจกลึกเข้าไปหลังบ้าน ผมคิดว่าเจ้าของบ้านคงจะอยู่ข้างบนโน่น ดู ๆ แล้วโรงเรียน DogGang อาจไม่มีนักเรียน หรือถ้ามีก็น้อยมาก  อาจารย์หมูคงไม่ได้จ้างเจ้าหน้าที่มานั่งประจำเหมือนแต่ก่อน!  ผมเห็นประกาศว่าโรงเรียนเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์   อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ลึก ๆ ในใจก็คิดว่าอาจารย์หมูคงไม่เดือดร้อน เพราะต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านยังดูสวยสดงดงาม!!



 ตราบใดที่เจ้าของบ้านยังคงดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย ยังไง ๆ เจ้าสิ่งที่ได้ลงทุนลงแรงสร้างไว้ก็คงไม่ตาย!!


 รวมทั้งชื่อของ DogGang.com ด้วยครับ...