ในโลกกว้าง...ถ้าผมได้พบชายแก่แบกเป้ลุยเดี่ยว ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนญี่ปุ่นวัยเกษียณซึ่งมีเงินใช้ท่องเที่ยวเหลือเฟือ เขาเลือกที่จะเป็น backpacker ผู้ไม่รังเกียจ dormitory bed
ในระหว่างการเดินทางของผม...มีอยู่หลายครั้งที่ผมถูกมองว่าเป็นคนญี่ปุ่น ไม่ว่าจากพนักงานไปรษณีย์หรือคนขายตั๋วรถไฟ จะเป็นที่ไหนก็ตาม...ผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าคนแก่แบกเป้ผมดำหรือผมหงอกที่เห็นนั่นเป็นคนญี่ปุ่น การถูกมองว่าเป็นคนไทยนั้นเป็นไปได้ยาก!
แม้จะดูคล้ายกัน...แต่ผมก็แตกต่างกับนักแบกเป้ชาวอาทิตย์อุทัยตรงที่ว่าการเดินทางของผมมีงบประมาณที่น้อยนิด และมีเวลาจำกัด ทุกย่างก้าวของผมจึงจำเป็นต้องประหยัด ในขณะเดียวกันผมก็จะพยายามกอบเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้....
ถ้าจะพูดถึงคนไทยวัยเกษียณที่ออกเดินทางแบกเป้ท่องโลกแบบลุยเดี่ยวที่ผมรู้จักก็มีอยู่คนนึง คือ"พี่อุดม"
ท่านเป็นคนเชียงใหม่ เวลาอู้กำเมืองสำเนียงออกเจียงใหม่ชัดเจน อายุคงจะมากกว่าผมสักปีหรือสองปี เราเคยพบกันโดยบังเอิญที่ไร่หญ้ารีสอร์ทของอาจารย์ประสิทธิ์ ตอนที่พบกันนั้น...พี่อุดมยังดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการขององค์กรที่มีชื่อเสียงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่านขับรถพาเพื่อนชาวญี่ปุ่นซึ่งเป็นชาวนาลงมาเที่ยวลำปาง พบกันครั้งนั้นแล้วเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย...
ผมเคยเขียนถึงพี่อุดมว่า...
....ได้พบกับพี่อุดมเพียงครั้งเดียวที่ไร่หญ้ารีสอร์ท จากการได้คุยกับชายซึ่งกำลังจะปลดเกษียณและมีโครงการที่จะใช้ชีวิตท่องเที่ยวผจญภัยในมหาวิทยาลัยชีวิต(ตามคำกล่าวของพี่อุดม) ทำให้ผมได้สัมผัสในความรักและไมตรีจิตจากพี่อุดม เรามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเพียงแค่พบกันเพียงคืนเดียว ความรู้สึกผูกพันระหว่างผมกับพี่อุดมนั้นแนบแน่นคล้ายกับรู้จักกันมานานปี เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว พี่อุดมได้โอนเงินจำนวน ๕ พันบาทเข้าบัญชีผมเพื่อสนับสนุนการแบกเป้ท่องเที่ยวไปลาวในช่วงเดือนตุลาคม...”หายากมากครับ แค่พบกันคืนเดียว...ชายคนหนึ่งโทรศัพท์ถึงคนที่บอกว่ากำลังวางแผนแบกเป้ไปลาว ขอทราบเบอร์บัญชีธนาคารเพื่อจะโอนเงินก้อนใหญ่ไปให้!!
ผมไม่ได้ไปลาวตามที่บอกกับพี่อุดม แต่ได้ใช้งบประมาณซึ่งได้รับจากพี่อุดม รวมกับเงินสนับสนุนอีก ๔,๐๐๐ บาท ไปกับการเดินทางไปมาเลเซียและสิงคโปร์เมื่อเดือนเมษายนปี ๒๕๕๒
ด้วยงบเดินทางจำนวน ๙,๐๐๐ บาท ผมสามารถนั่งรถไฟจากเชียงใหม่ไปจนถึงสุไหงโก-ลก จากโกตาบารู...ผมได้มีประสบการณ์กับรถไฟมาเลย์ฯ เดินทางไปยังกัวลาลัมเปอร์ พักอยู่ ๓ คืน แล้วนั่งรถไฟต่อไปจนถึงสิงคโปร์ จากสิงคโปร์ผมอาศัยรางรถไฟเดินทางกลับไปยัง Butterworth เพื่อแวะเยือนเกาะปีนัง ก่อนที่จะนั่งรถไฟไทยกลับกรุงเทพ แล้วต่อรถอีก ๒ ขบวนจนถึงลำปาง การเดินทางใช้เวลาทั้งสิ้น ๒ สัปดาห์...ได้ท่องเที่ยว ๒ ประเทศ ด้วยงบประมาณ ๙ พันบาท ผมซื้อของฝากติดมือกลับบ้านแล้ว...ยังมีเงินเหลือ!!!
เพื่อน ๆ ที่รัก...พอจะมองออกหรือยังว่าผมแตกต่างจาก backpackers ทั่ว ๆ ไปตรงไหน? การเดินทางของผมถูกขับเคลื่อนด้วย travel budget ที่ได้รับการสนับสนุนมา... หรือไม่ก็จากเงินก้อนพิเศษที่ได้มาโดยไม่คาดคิด!
การแบกเป้ท่องลาวและเวียดนามครั้งที่ผ่านมานี้ก็เช่นกัน ผมบังเอิญได้ติวทฤษฏีดนตรีให้นักเรียนที่จะไปสอบเข้าโรงเรียนดุริยางค์กองทัพบก ได้เงินมา ๒,๔๐๐ บาท แล้วได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งอื่นอีกประมาณ ๔,๐๐๐ บาท ผมควักกระเป๋าเพิ่มอีกสองพันกว่าบาทก็ได้ครบ ๙,๐๐๐ บาทซึ่งเป็น travel budget ที่ได้ตั้งไว้...
การเดินทางระยะสั้นลงหน่อย คือแค่ ๑๑ วัน (เป็นเพราะกล้องถ่ายรูปเสียด้วย) ได้เที่ยว ๒ ประเทศ...ผมใช้เงินงบประมาณ ๙ พันไม่หมดหรอก คราวนี้เหลือมากกว่าครั้งที่ไปมาเลเซียและสิงคโปร์เสียอีก!
ลืมบอกไปว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (travel expenses) ของผมจะต้องอยู่ในเรื่องต่อไปนี้:-
- ค่าเดินทาง คือ ค่ารถ ค่าเรือ ค่าเครื่องบิน ค่ารถสองแถว ฯลฯ
- ค่าอาหาร คือรายจ่ายเกี่ยวกับอาหาร ขนม น้ำดื่ม และเสบียงที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
- ค่าการติดต่อสื่อสาร คือ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าไปรษณียบัตร ค่าแสตมป์ ฯลฯ
- ค่าบัตรผ่านประตู
- ค่าใช้จ่ายพิเศษ อันเนื่องมาจากความจำเป็น อาทิ ค่าวีซ่า ค่าประกัน ค่าจ้าง ฯลฯ
ตอนนี้ผมมองข้าม shot ไปแล้ว! ทริปต่อไปซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะเป็นจริงก็คือ "A Revisit to Burmar" ด้วยงบประมาณ ๙ พันเช่นเดิม!
No comments:
Post a Comment