เว็บของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า...
ปัจจัยเสี่ยงของอาการปวดหลัง
- อายุ โดยทั่วไปอาการปวดหลังเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งในหนุ่มสาววัยทำงาน และในผู้สูงอายุ
- การขาดการออกกำลังกาย ในคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังไม่แข็งแรง ไม่สามารถรองรับกระดูกสันหลังได้
- อ้วน น้ำหนักตัวที่มากเกินไปส่งผลให้กระดูกสันหลังต้องรับน้ำหนักมากทำให้เกิดความเสื่อมได้มากขึ้น นอกจากนี้ไขมันที่พอกพูนบริเวณหน้าท้องอาจทำให้สมดุลของร่างกายเสียไปและเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุได้
- โรคบางชนิด เช่น ข้ออักเสบ เนื้องอกบางชนิดการทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องยกของ ใช้แรงผลักหรือดึงซึ่งทำให้กระดูกสันหลังบิด รวมถึงผู้ที่ทำงานอยู่กับโต๊ะเป็นเวลานานโดยอิริยาบถไม่ถูกต้องก็อาจปวดหลังได้
กลัวเหลือเกินว่าปีนี้อาจจะเป็นปีแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย! ผมรีบคว้าหนังสือ "ไท่เก๊ก ท่ากายบริหารเพื่อสุขภาพ (Chinese Exercise for Health) ที่มีอยู่ออกมาอ่าน...
เป็นหนังสือเล่มเล็ก พิมพ์ด้วยกระดาษเนื้อดี หนา ๖๔ หน้า ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้า ผมซื้อมาในราคา ๔๗ บาท...
เขียนโดย "หยาง หมิงซื่อ" แปลและเรียบเรียงโดย "เหล่าซือ" ลองอ่านคำนำของสำนักพิมพ์ดอกหญ้าดูหน่อยนะครับ...
ไท่เก็กหรือไท่จี๋ฉวนนี้ เป็นอีกตำรับหนึ่งที่เราเสนอต่อคุณในชุดคู่มือรักษาสุขภาพแบบจีน เป็นการบำรุงรักษาสุขภาพที่ง่ายดาย มีประสิทธิภาพ และเพลิดเพลินผมเริ่มฝึกปฏิบัติโดยค่อย ๆ ศึกษาและทำตาม ตอนเช้าขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าโน่น หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปล่อยให้แสงแดดชโลมกายขณะฝึก รู้สึกว่าดีครับ จึงอยากนำข้อเขียนและภาพประกอบในหนังสือ* มาฝากเพื่อน ๆ ด้วยดังนี้...
ผู้เขียนเป็นผู้รู้ลึกด้านนี้อย่างแท้จริง จึงเป็นที่มั่นใจได้ถึงท่วงท่าที่ถูกต้อง อันจะก่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ทั้งจิตใจ อารมณ์ และสภาพร่างกาย ทางสำนักพิมพ์ตระหนักถึงการใช้สอยหนังสือเล่มนี้จึงได้รับการออกแบบโดยยึดถือความสะดวกในการพลิกใช้ขณะฝึกทำท่วงท่าเป็นสำคัญ จึงหวังว่าหนังสือเล่มนี้คงเป็นประโยชน์ต่อคุณ เมื่อใจคุณเปล่งประกายประดับอยู่บนเรือนใจที่สมบูรณ์ ความสุขก็จะเป็นของคุณอีกยาวนาน - ด้วยความปรารถนาดี
ชักเริ่มสนใจแล้วใช่มั้ย? เดี๋ยวผมจะนำมาบอกต่อนะครับ!
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่มนี้คงไม่มีจำหน่ายอีกแล้ว ขออนุญาตนำมาเผยแพร่เป็นวิทยาทาน
No comments:
Post a Comment