หลายปีที่ไม่มีรถยนต์...ต้องใช้จักรยานซึ่งมีอยู่หลายคันแทน ไม่ว่าใกล้ไกลผมไปได้หมด หากท่องเที่ยวแดนไกลก็ใช้จักรยานพับใส่รถไฟหรือรถยนต์โดยสารไป
เป้าหมายสุดท้ายก็จะอาศัย "สหัสเดช" จักรยาน 12 speed DIY ใช้เฟรม Giant ปั่นไปให้ไกลสุดขอบฟ้า...
นอกนั้นผมก็ยังมีเจ้าแชมป์ (พับได้) เอาไว้ปั่นเล่นใกล้ ๆ
แล้วยังมีเจ้า Bruiser จักรยานเสือภูเขาล้อ 26 นิ้วที่ผมซื้อเฟรมเก่ามา upgrade...
คันนี้ใช้งานทั่วไปในตัวเมืองห้างฉัตร ปั่นไปโรงพยาบาล ตลาด ร้านขายของชำ ฯลฯ ผมเคยคิดว่าจะทำเป็นจักรยานไฟฟ้า แต่ไม่อยากเป็นทาสสินค้าจีนและเทคโนโลยีที่ไม่ยั่งยืน ก็เลยล้มโครงการ
อ้าว! ว่าด้วยเรื่องรถยนต์แล้วทำไมมาโวเรื่องจักรยาน? คำตอบคือผมเพียงอยากเกริ่นปูทางเรื่องรถยนต์เท่านั้น ด้วยเหตุว่าตราบใดที่ยังมิได้โบกมืออำลาแผ่นดินเกิดไปอย่างถาวร...ผมก็ยังคงต้องมีรถยนต์อีกสักคันเพื่อขับไปโรงพยาบาล ไปหาหมอตาในตัวเมืองลำปาง ไปขนของหนัก ๆ รวมทั้งให้บริการพี่ชายผู้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปซะแล้ว! คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหารถยนต์เก่า ๆ ราคาถูกไว้ใช้งานซึ่งจักรยานไม่สามารถทำได้ แต่ก่อนที่จะเขียนถึงรถยนต์คันสุดท้าย ผมก็อยากเล่าเรื่องรถยนต์เก่าที่เคยซื้อใช้ในช่วงชีวิตตั้งแต่หนุ่มยันแก่ให้เพื่อน ๆ ฟังซะหน่อยก่อน
เรียนจบอีเล็คทรอนิคส์ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ (ทุ่งมหาเมฆ) ผมทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องมือแพทย์ที่บริษัทวิทยาคมจำกัดได้พักนึง จากนั้นก็ลาออกแล้วกลับไปอยู่เชียงใหม่ ได้รับราชการตำแหน่ง "ช่างตรี" ที่โรงพยาบาลสวนดอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เมื่อมีงานมีการทำ...ผมก็เริ่มมองหารถยนต์ขับทั้ง ๆ ที่ยังขับไม่เป็น ก็ได้พี่นิเวศน์ ณ ลำปาง เป็นผู้พาไปซื้อรถยนต์ยี่ห้อ Hillman จากอู่แห่งหนึ่งแถวสี่แยกถนนโชตนาในราคา 8,000 บาท (ต้องไปกู้เงินคุณนายท่านนึง)
|
พี่เวศน์เล่นกีต้าร์อยู่ด้านซ้ายของเวที... |
เป็นรถอังกฤษ (made in England) ผมไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตจนเจอรูปที่ตรงกับคันที่ผมซื้อนั่นเลย...
สีก็สีเดียวกัน...
พวงมาลัย ไฟเลี้ยว ก็อย่างเนี้ยแหละ....
ด้านข้างระหว่างประตูหน้าและหลังมีแขนไฟเลี้ยวยกขึ้นลง (นำภาพ Hillman อีกคันมาให้ดู จะเห็นแขนไฟเลี้ยวที่ว่าชัดหน่อย!!)
ผมพอจะบอกได้ว่าซื้อเจ้า Hillman รถยนต์คันแรกนั่นก่อนปี 2515 ซึ่งมีการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น จำได้ว่าผมเขียนติดกระจกหลังว่า Japan Go Home นักหนังสือพิมพ์ยังแวะมาถ่ายรูปเลย
พี่นิเวศน์ ณ ลำปางอีกนั่นแหละที่สอนผมให้ขับรถจนเป็น ทุกเช้าผมจะขับเจ้า Hillman ไปทำงานที่โรงพยาบาลสวนดอก ส่วนตอนเย็นก็ขับไปรับพี่นิเวศน์ไปทำงานเล่นดนตรีด้วยกันที่ร้านอาหารศรีสุรางค์ สี่แยกแจ่งหัวริน
จำได้ว่าที่บ้านพี่นิเวศน์ให้เช่าทำอู่ซ่อมรถ Hino มีช่างมือรองคนหนึ่งช่วยยกเครื่องเจ้า Hillman ให้แบบไม่คิดค่าแรง ผมซึ่งเป็นลูกมือก็ได้เห็นการบดวาวล์ การยกเครื่องลง การตัดประเก็น และอื่น ๆ
สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับรถคันแรก ผมจำได้ว่าครั้งนึงผมเลี้ยวตรงสี่แยกช้างเผือก ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ซึ่งวิ่งไปทางแม่ริม พบต้องเลี้ยวยูเทิร์นหลบเพื่อไม่ให้ประสานงาอย่างจัง แต่ก็ยังทำให้มอเตอร์ไซค์คันนั้นล้ม คนขี่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อีกครั้งนึงขณะเล่นดนตรีอยู่ ผมให้ช่างคนหนึ่งนำรถไปจัดการเรื่องแบตเตอรี่ ปรากฏว่าเค้าเอาไปชนจักรยานสองผัวเมียที่ใกล้สี่แยกช้างเผือก ผมต้องพาไปส่งสวนดอกและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ทั้งสองเหตุการณ์อยู่ในความทรงจำของผมมาตลอดเลยล่ะ
ท้ายที่สุด...เจ้าคนภูเขาก็ตายสนิท ผมจอดทิ้งไว้หน้าบ้าน มีคนมาขอลากไปในลักษณะเศษเหล็ก เป็นอันสิ้นสุดเรื่องราวรถยนต์คันแรกของผม
2 comments:
เพื่อนสนิทพ่อมีบ้านพักอยู่ที่บริเวณ ถ.ราชดำเนินตัดกับ ถ.ราชภาคินัย (วัดพันอ้น)
ตอนเด็กบริเวณดังกล่าวจะเป็นสี่แยก มีป่าแพะมีบ่อน้ำเก่า ตึกขายรถ Hillman อยู่ถัดไป เป็นคูหาประมาณ 5 ห้อง
ที่ติดกันถัดไปก็คือที่ตั้งสหกรณ์ อะไรซักอย่างผมจำไม่ใด้ และเป็นบ้านพักของเพื่อน
เพื่อนของพ่อเป็นผู้จัดการสหกรณ์ .....หลังจากที่เปิดตัวรถ Hillman ซักพัก
เย็นวันหนึ่ง พ่อของเพื่อนก็ถอยรถ Hillman สีขี้มูก มารับเพื่อนและใด้ชวนผมนั่งกลับบ้านไปด้วยกัน บ้านเราอยู่ใกล้กัน
บ้านผมขายของชำเป็นอาคารพาณิชอยู่ตรงข้ามร้านอรุณไร มีคูเมืองคั่นกลาง ซ้ายมือเป็นซอย สายตำเกสเฮ้าส์ ขาวมือเป็นซอยถัดไปเป็นโรงแรมสุรพล ร้านดาเรศ สี่แยกโรงแรมมนตรี
ตอนนั้นน่าจะประถม 3-4 เราไม่ค่อยประสีประสากับนวัตกรรมอะไรเกี่ยวกับเครื่องยนต์เลย เรานั่งรถเดือนกับเมล์เหลือง เพื่อนบอกว่ารถคันนี้มีไฟเลี้ยว เวลาคืนพวงมาลัยไฟเลี้ยวจะปิดเอง.....ความทรงจำของผมกับรถ Hillman
ขอบคุณคุณ bim มาก ๆ ครับ เป็นการเขียนเล่าประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง
Post a Comment