Thursday, May 30, 2024

รถยนต์คันที่สองของผม

 

14 ปีที่แล้ว...ผมโพสต์เรื่อง "บ้านเช่าที่บางบัว" ไว้ในบล็อก Wichai's space มีรูปรถยนต์คันที่ 2 ของผม

เดือนกันยายน ๒๕๒๖ รถยนต์คันที่ ๒ ของผมจอดอยู่ที่บางบัว กทม. ผมเขียนเกี่ยวกับ "บ้านเช่าที่บางบัว" ไว้ดังนี้…

เพื่อนยากของผมคันนี้แหละที่บรรทุกเปียโนและข้าวของเดินทางจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ ด้วยความหวังที่จะกลับไปปักหลักใหม่ที่นั่น  นอกจากเจ้ามาสด้าจะต้องวิ่งระยะทางไกลแล้ว มันยังต้องรับใช้ผมอีก ๒๐ กว่าวันในสภาพการจราจรของนครหลวงที่แออัดและสภาพน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน  บางครั้งผมเกือบไปไม่รอดเมื่อเจอกับระดับน้ำท่วมสูงบนถนนหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ณ หมู่บ้านบางบัว ภาพนี้ถ่ายขณะที่จอดตากแดดตากฝนอยู่หน้าบ้านเช่า เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผมจะขับรถกลับเชียงใหม่ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๖ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสภาพของถนนเป็นเช่นไร…

ระหว่างทำงานเล่นเปียโนที่ห้องอาหารในโรงแรมคอนติเน็นตัล สนามเป้า ผมเช่าบ้านไม้หลังเล็กที่เห็นในภาพอยู่กับ “สมมาตร” เพื่อนรุ่นน้องซึ่งเคยทำงานด้วยกันที่บริษัทวิทยาคม มันเป็นบ้านเช่าอยู่ในที่จัดสรรของการเคหะบางบัว ค่าเช่าเดือนละ ๖๐๐ บาท เราช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง…

บ้านเช่ามีส้วมไม่มิดชิด ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ผมต้องอาศัยโยงไฟมาจากบ้านของเพื่อนซึ่งเคยเรียนเทคนิคกรุงเทพด้วยกันมาใช้ ส่วนน้ำก็ต้องคอยรองน้ำฝนไว้ใช้ ตอนกลางวันลมพัดเย็นดี แต่ตอนกลางคืนผมต้องสะดุ้งตื่นบ่อยครั้ง เพราะเสียงเครื่องบินที่ขึ้นจากสนามบิน ดอนเมือง  ช่วง ๒๐ กว่าวันผมไม่ค่อยได้กลับมานอนบ้าน เพราะผมจะขับรถไปจอดหน้าบ้านป้าที่สุขุมวิท ซอย ๖๗ หรือไม่ก็ที่วัดนก ตำบลภาษีเจริญ แล้วนอนอยู่ในรถตลอดทั้งคืน

คืนไหนที่อยากกลับบ้าน(เช่า) ผมจะต้องขับรถลุยโคลนเข้าหมู่บ้านผ่านบรรยากาศที่น่ากลัวไม่น้อย มันทั้งเงียบทั้งเปลี่ยว! โชคดีที่ผมเป็นคนไม่กลัวผี  ไม่งั้นคงจะอยู่ไม่ได้

ภาพการรองน้ำไว้ใช้ทำให้ผมอดคิดถึงชีวิตช่วงอาศัยอยู่ที่บางบัวไม่ได้  จำได้ว่าตอนย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ ๆ ผมต้องขอดน้ำที่เหลืออยู่ก้นตุ่มประมาณ ๔-๕ ขันเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปเล่นเปียโน พอฝนตกลงมา ผมดีใจมาก รีบรองน้ำฝนใส่ภาชนะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็แค่เต็มตุ่มเต็มกาละมัง เพราะผมไม่มีภาชนะอื่นอีก

นับเป็นภาพชีวิตยากลำบากซึ่งผมไม่เคยลืม…

 

กลับมาคุยเรื่องรถยนต์คันที่ 2 ของผมดีกว่า ขายซากเจ้า Hillman ไป ผมก็ไม่ได้ใช้รถยนต์อีกนาน หลังจากลาออกจากโรงพยาบาลสวนดอกเพื่อไปเรียนดนตรีต่อที่แผนกดุริยศิลป์ วิทยาลัยพายัพ อีก 4 ปีผมมีแต่มอเตอร์ไซค์คันเดียว เรียนจบอยากปั่นจักรยานไปเรียนต่อที่เมกาเหมือนอาจารย์ปรีชา ผู้บุกเบิกคนแรกแต่ก็ผิดหวัง... ชีวิตผมผันแปร นำจักรยานลงกรุงเทพอย่างที่เห็น


หลังจากไปนอนหาดบางแสน ผมก็คิดหางานทำ ได้ติดต่อเพื่อนนักดนตรี มือแซกโซโฟนชื่อ "โกยิ่ง"  และในที่สุดก็กลายไปเป็นนักดนตรี (เล่นคีย์บอร์ด) ที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร หลังจากนั้นก็กลับเชียงใหม่ ไปฝึกเล่น Electone กับอาจารย์วินัย สว่างงาม แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นมืออีเลคโทนหากินตามจังหวัดต่าง ๆ ชีวิตเข้มข้นมากล้นด้วยเรื่องราว ผมไม่ขอเล่า ข้ามไปจนถึงตอนกลับไปอยู่เชียงใหม่ วันนึงแม่มาบอกว่ามีคนจะเอารถปิกอัพมาขายให้ ราคา 6 หมื่นบาท เป็นรถสภาพดีทีเดียว อู่ที่อยู่หน้าบ้านเขาแนะนำมา มันคือรถปิกอัพยี่ห้อ Mazda ขนาด 1,000 CC อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนั่นแหละ! ผ่อนรถกับบริษัทไฟแนนซ์...ผมใช้เจ้ามาสด้าอยู่หลายปี ทั้งขับไปเล่นดนตรีที่โรงแรมรินคำและอื่น ๆ ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยพายัพ พา Mom Alice จากแคนาดาไปเที่ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย
 
 
โง่มาก!! จากรถที่เครื่องยังสภาพดี 1,000 CC ผมดันไปซื้อเครื่อง 1,200 จากเชียงกงมาเปลี่ยนเพื่อติดแอร์ แต่ก็ใช้มันเรื่อยมา
 
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งต้องเดินทางไปออสเตรเลีย ผมได้ขายเจ้า Mazda ให้กับคุณแหม่มนักร้องในราคา 45,000 ปิดฉากบทบาทกับรถยนต์คันที่ 2 นับแต่นั้นมา!

No comments: