เลิกที่จะรับรู้เรื่องข่าวสารการเมือง เริ่มมีเวลา...ผมอยากจะเขียนเรื่องลงในบล็อกให้มากขึ้น...
วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ผมเขียนไว้ใน wichai's space ว่า...
เรื่องอาการสายตาสั้นขนาดพันกว่าของผมที่ได้เล่าไว้หลายตอน... จำได้ว่าผมเล่ามาถึงการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งตั้งแต่ผมอายุ ๒๐ กว่า ๆ ใส่ทำงาน เรียนหนังสือ ท่องเที่ยว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ โฮ้ย…สารพัดสารพัน ผมก็ต้องอาศัยเจ้าคอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งซึ่งแปะอยู่บนแก้วตา ที่จะทำให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจน และสามารถใช้ชีวิตผ่านมาได้จนอายุได้เกือบจะ ๕๐ ปีนั่นคือบล็อกที่เขียนเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ผมยังไม่ได้เล่าต่อเรื่องการผ่าตัดและการถูกยิงเลเซอร์ ซึ่งคิดว่าไม่เป็นไร วันนี้ผมอยากจะเขียนอีกเรื่องหนึ่งซึ่งอาจมีประโยชน์ บางท่านอ่านแล้วจะรู้สึกว่าน่ารังเกียจก็ได้ เรื่องนั้นคือเรื่องน้ำปัสสาวะ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเยี่ยว
ในช่วงเกือบ ๓ ทศวรรษที่ผ่านมา ผมมีความยากลำบากขนาดไหน มากด้วยประสบการณ์ในการใช้คอนแทคเลนส์อย่างยาวนาน แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาเล่าอย่างละเอียด บางเรื่องทำให้ผมรู้สึกอัดแน่นในหัวใจยามที่ได้คิดถึง อย่างเช่น ครั้งหนึ่งที่ผมทำคอนแทคเลนส์ข้างหนึ่งตกหายที่หน้าห้องน้ำ(บ้านทุ่งโฮเต็ล) วันนั้นผมสิ้นหวังและตัดสินใจเลิกค้นหาไปแล้ว แต่พอผ่านไปดู…ผมเห็นแม่กำลังนั่งอยู่หน้าห้องน้ำ ค่อย ๆ ใช้มือลูบไปตามพื้นปูนเพื่อช่วยหาคอนแทคเลนส์ให้ ทั้งที่สายตาแม่ก็สั้นระดับพันกว่า และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าคอนแทคเลนส์นั้นมีรูปร่างลักษณะเช่นไร ด้วยความรักและความเป็นห่วง…แม่อุตส่าห์แอบไปคลำหาให้ลูก!
ผมโชคดีที่ดวงตาไม่เกิดอาการระคายเคืองง่ายนัก ทั้ง ๆ ที่ผมสวมคอนแทคเลนส์ตั้งแต่เช้ายันดึก เล่นดนตรีในไนท์คล้บ, ค็อคเทลเล้าจน์ หรือบาร์ญี่ปุ่น…ผมไม่มีโอกาสได้ถอดคอนแทคเลนส์เลย จนกว่าจะเข้านอน แล้วผมก็เป็นคนที่แย่มาก ๆ ที่ไม่กล้าเปิดเผยว่าผมสวมคอนแทคเลนส์ ผมอายที่จะให้คนอื่นรู้ว่าผมสายตาสั้นมากกกก…..
อืมม์…ถ้าจะเล่ามากกว่านี้ ก็คงจะกินเนื้อที่ของบล็อก ผมขอรวบรัดไปถึงตอนที่ได้เปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่ม (soft contact lens) เลยดีกว่า! ตอนที่หันไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่มนั้น ผมทำงานอยู่ที่โรงแรมพิมาน จังหวัดนครสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มที่ยังต้องสั่งทำ (ไม่ใช่แบบใช้แล้วทิ้งอย่างทุกวันนี้) ราคาก็ยังคงตกคู่ละ ๑,๔๐๐ บาท เปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่ม.. ผมยังคงเก็บคอนแทคเลนส์แบบแข็งไว้ รวมทั้งเจ้าน้ำยา Liquifilm (ขวดสุดท้ายที่ซื้อจากร้านแว่นตรงข้ามโรงภาพยนต์พาราเม้าท์ ถนนเพชรบุรี)
ผมมาได้สวมคอนแทคเลนส์แบบนิ่มชนิดใช้รายเดือนก็ตอนกลับมาอยู่ลำปาง ตรงหัวมุมห้าแยกหอนาฬิกามีร้านแว่นของห้างแว่นท๊อปเจริญอยู่ร้านหนึ่ง ที่นั่น..ผมไปซื้อคอนแทคเลนส์แบบรายเดือนไว้ใช้ทีละ ๓ กล่อง รวมค่าน้ำยาแล้ว ผมต้องจ่ายครั้งหนึ่งเป็นพัน เพื่อให้สามารถมองเห็นเช่นคนปกติได้อีก ๓ เดือน รวมแล้วก็ประมาณปีกว่า ๆ ที่ผมยังคงต้องมีคอนแทคเลนส์แปะอยู่บนดวงตา แต่ผมก็มองเห็นไม่ค่อยชัดนัก คงเป็นเพราะสายตาของผมเอียงมาก ๆ และสองข้างก็สั้นไม่เท่ากันด้วย แถมตอนที่ไปซื้อ…ผมก็กะเอาว่าสัก -9.50 กล่าวได้ว่าผมนั้นโง่จริง ๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเรื่องของสายตามาโดยตลอด!!
และแล้ว…จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของผมก็มาถึง มันคือวันที่ผมตัดสินใจไปพบจักษุแพทย์ (ตัวจริง) ที่คลีนิกหมอพงษ์ศักดิ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดป่าฝางหรือวัดศาสนโชติการาม ถนนสนามบิน…
คุณหมอพงษ์ศักดิ์หรือคุณหมอหล้าได้ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาให้ผมทีละข้าง จนกระทั่ง…ผมกลายเป็นผู้ที่สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องสวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้ในที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมจะดีใจขนาดไหน และถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะดีใจขนาดไหน?
I was reborn! พระเจ้าได้ประทานดวงตาให้ โดยที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน...
หลายปีที่ผ่านมาผมได้พยายามศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy)" ในเว็บกองการแพทย์ทางเลือก นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ นักวิชาการสาธารณสุข ได้เขียนไว้ว่า...
ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) คือ การใช้ปัสสาวะของตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย ตำราไทยโบราณหลายเล่มกล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรค ในพระวินัยปิฎกเขียนไว้ว่า พระภิกษุปฏิบัตินิสสัยสี่ ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ เมื่อพันปีก่อนคริสต์ศักราช ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดู ถือว่าน้ำปัสสาวะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต ในตำราการแพทย์จีน เขียนขึ้นช่วง พ.ศ. ๕๘๖-๗๕๔ อ้างว่าปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น พ.ศ. ๖๐๐ ปรินุส นักปราชญ์ชาวโรมัน แต่งตำราว่าด้วยปัสสาวะเป็นยารักษาพิษต่าง ๆ และใช้ประโยชน์ในการฟอกหนัง ย้อมสีผ้า พ.ศ. ๑๗๘๒-๑๘๓๒ ญี่ปุ่นยุคอิมเป็งดื่มน้ำปัสสาวะในการรักษาโรคขอขอบคุณที่มาของข้อมูลซึ่งหาได้ทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งองค์ความรู้จากหมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) ซึ่งเขียนไว้ว่า
จากการวิจัยของ ดร.ฟารอน นักชีวเคมี พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ ๙๕% เป็นน้ำ ๒.๕% เป็น urea และ อีก ๒.๕% เป็นสารอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน แยกตามส่วนประกอบในน้ำปัสสาวะ 100 cc. มี
Urea nitrogen 682 ม.ก.
Urea 1,459 ม.ก.
Creatinine nitrogen 36 ม.ก.
Creatinine 97.20 ม.ก.
Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.
Uric acid 36.90 ม.ก.
Amino nitrogen 9.70 ม.ก.
Ammonia nitrogen 57 ม.ก.
Sodium 212 ม.ก.
Potassium 137 ม.ก.
Calcium 19.50 ม.ก.
Magnesium 11.30 ม.ก.
Chloride 314 ม.ก.
Total sulphate 91 ม.ก.
Inorganic sulphate 83 ม.ก.
Inorganic phosphate127 ม.ก.
ที่น่าสนใจในปัสสาวะมีสารอื่นๆ ได้แก่ เอนไซม์: Amylase (diastase), Lactic dehydrogenase (LDH), Leucine amino-peptidase (LAP) และ Urokinase (ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน) ฮอร์โมน: Catecholamines, 17–Catecholamine, Hydroxy–steroids, Erythropoietin, Adenylate cyclase, Prostaglandins, Growth hormones, ฮอร์โมนเพศ, อินซูลิน ฯลฯ
...นักวิจัยเชื่อว่ายังมีสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากในปัสสาวะแท้จริงแล้วเขาเป็นยาอยู่สองอัน คือ ๑) ตัวเขาเองมีสารและตัวพลังงานที่เป็นยา ๒) คนที่กล้ากินกล้าใช้น้ำปัสสาวะคือคนที่กล้าทำลายความรังเกียจในน้ำปัสสาวะ ความรังเกียจเขาเรียกว่า "อัตตา" ปกติตัวรังเกียจในน้ำปัสสาวะมันเป็นกิเลส มันเป็นมาร มันจะดูดพลังเราไป รังเกียจยังเป็นทุกข์ ต้องไม่รังเกียจ...ขอหยิบยกมาแค่นี้นะครับ เพื่อน ๆ สนใจก็ไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมได้ วันนี้ผมจะขอเล่าประสบการณ์เฉพาะซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการใช้น้ำปัสสาวะสักเล็กน้อย...
ผมใช้น้ำปัสสาวะ (เยี่ยว) ในการบำบัดมานานหลายเดือน ไม่ถึงขนาดนำมาดื่มนะครับ แต่ใช้กับภายนอกดังข้อมูลที่ว่า...
แบบใช้ภายนอก
ทาและนวดผิวหนัง โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก จะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หรือผิวหนังที่โดนแดดเผา
ล้างเท้า กรณีมีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า
สระผม ช่วยทำให้ผมสะอาด นุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น
ปัสสาวะสามารถรักษาอาการปวดหลัง แผล แผลไฟไหม้ ภูมิแพ้ หืดหอบ ไมเกรน มะเร็ง ผิวหนังผื่นแพ้ กามโรค ปวดตามข้อ โรคเก๊าส์ ท้องผูก มาลาเรีย หวัด ตับอักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ความดันโลหิตสูง ฯลฯ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา - บรรจบ ชุณสวัสดิกุล, วิทยาศาสตร์ว่าด้วยน้ำปัสสาวะบำบัดโรค (กรุงเทพ:สำนักพิมพ์รวมทรรศน์, 2546)
ผมเริ่มใช้น้ำปัสสาวะล้างตาและล้างจมูกมาตั้งแต่ครั้ง FB Trip ไปมะละกา บนขบวนรถเร็วชั้น ๓ ตื่นมาตอนเช้าขี้ตากัง ผมเข้าห้องน้ำบนรถไฟพร้อมกับถ้วยพลาสติก ฉี่ใส่ถ้วยในปริมาณที่พอเหมาะแล้วยกขึ้นลืมตาในปัสสาวะ (เหมือนแต่ก่อนเคยล้างตาด้วยยาล้างตา) สัมผัสได้ถึงความอุ่นของปัสสาวะ รู้สึกเหมือนดวงตาถูกชำระล้างด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำยาล้างตาที่มีคุณภาพ ไม่ต้องนานนะครับ จากนั้นก็เททิ้ง ฉี่ลงถ้วยอีกครั้ง ทำกับดวงตาอีกข้างในลักษณะเดียวกัน เททิ้งแล้วก็ฉี่อีกเป็นครั้งสุดท้าย ยังเหลือฉี่ในกระเพาะปัสสาวะก็ปล่อยลงส้วมให้หมด นำน้ำมาผสมฉี่ในถ้วยในประมาณเท่า ๆ กันแล้วสูดเข้าจมูก สั่งขี้มูกแรง ๆ ล้างโพรงจมูกให้สะอาด สั่งลงส้วมไป จากนั้นก็เทน้ำสะอาดใส่ถ้วยเพื่อล้างจมูกอีกครั้ง แล้วล้างถ้วยเก็บ...
บางครั้งน้ำฉี่ผ่านช่องจมูกเข้าปาก มีรสเค็มนิด ๆ ผมไม่รู้สึกเหม็น ไม่มีความรังเกียจเลย ผมทำปัสสาวะบำบัดมาถึงวันนี้ (แม้แต่ฉี่คนอื่นก็ไม่รังเกียจ) ผ่านมาได้หลายเดือนแล้วนะเนี่ย!
จำได้ว่าผมเคยถามหมอพงษ์ศักดิ์ จักษุแพทย์ เกี่ยวกับตัวอะไรไม่รู้ที่มันวนเวียนอยู่ตรงหน้าเวลาที่มองออกไป คล้ายกับแมงหวี่เหมือนเส้นไยอะไรที่มารบกวนสายตา? หมอหล้าพูดว่า "เหมือนไยก่ำปุ้งแม่นก่อ?" เพื่อน ๆ รู้มั้ยครับว่าตอนนี้มันไม่มีอยู่ในตาของผมอีกแล้วทั้งสองข้าง สายตาของผมดูเหมือนว่าจะไม่เสื่อมลง กลับจะดีขึ้นด้วยซ้ำ ผมไม่เคยรู้สึกคันตา ตาแดง หรือมีขี้ตาเยอะ ตาไม่เคยสดใสเหมือนทุกวันนี้เลยจริง ๆ
ไม่เคยรู้สึกว่าตาแห้ง ไม่ต้องหยอดน้ำตาเทียม ไม่ต้องสวมแว่น...ผมสามารถสนเข็มได้ด้วยตาเปล่า!!
เพื่อน ๆ อ่านเรื่องใช้ปัสสาวะของผมแล้ว... รู้สึกคลื่นไส้มั้ยครับ? 555
No comments:
Post a Comment