Thursday, May 30, 2024

รถยนต์คันที่สองของผม

 

14 ปีที่แล้ว...ผมโพสต์เรื่อง "บ้านเช่าที่บางบัว" ไว้ในบล็อก Wichai's space มีรูปรถยนต์คันที่ 2 ของผม

เดือนกันยายน ๒๕๒๖ รถยนต์คันที่ ๒ ของผมจอดอยู่ที่บางบัว กทม. ผมเขียนเกี่ยวกับ "บ้านเช่าที่บางบัว" ไว้ดังนี้…

เพื่อนยากของผมคันนี้แหละที่บรรทุกเปียโนและข้าวของเดินทางจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ ด้วยความหวังที่จะกลับไปปักหลักใหม่ที่นั่น  นอกจากเจ้ามาสด้าจะต้องวิ่งระยะทางไกลแล้ว มันยังต้องรับใช้ผมอีก ๒๐ กว่าวันในสภาพการจราจรของนครหลวงที่แออัดและสภาพน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน  บางครั้งผมเกือบไปไม่รอดเมื่อเจอกับระดับน้ำท่วมสูงบนถนนหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือถนนที่เต็มไปด้วยโคลน ณ หมู่บ้านบางบัว ภาพนี้ถ่ายขณะที่จอดตากแดดตากฝนอยู่หน้าบ้านเช่า เพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ผมจะขับรถกลับเชียงใหม่ในวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๖ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสภาพของถนนเป็นเช่นไร…

ระหว่างทำงานเล่นเปียโนที่ห้องอาหารในโรงแรมคอนติเน็นตัล สนามเป้า ผมเช่าบ้านไม้หลังเล็กที่เห็นในภาพอยู่กับ “สมมาตร” เพื่อนรุ่นน้องซึ่งเคยทำงานด้วยกันที่บริษัทวิทยาคม มันเป็นบ้านเช่าอยู่ในที่จัดสรรของการเคหะบางบัว ค่าเช่าเดือนละ ๖๐๐ บาท เราช่วยกันจ่ายคนละครึ่ง…

บ้านเช่ามีส้วมไม่มิดชิด ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ผมต้องอาศัยโยงไฟมาจากบ้านของเพื่อนซึ่งเคยเรียนเทคนิคกรุงเทพด้วยกันมาใช้ ส่วนน้ำก็ต้องคอยรองน้ำฝนไว้ใช้ ตอนกลางวันลมพัดเย็นดี แต่ตอนกลางคืนผมต้องสะดุ้งตื่นบ่อยครั้ง เพราะเสียงเครื่องบินที่ขึ้นจากสนามบิน ดอนเมือง  ช่วง ๒๐ กว่าวันผมไม่ค่อยได้กลับมานอนบ้าน เพราะผมจะขับรถไปจอดหน้าบ้านป้าที่สุขุมวิท ซอย ๖๗ หรือไม่ก็ที่วัดนก ตำบลภาษีเจริญ แล้วนอนอยู่ในรถตลอดทั้งคืน

คืนไหนที่อยากกลับบ้าน(เช่า) ผมจะต้องขับรถลุยโคลนเข้าหมู่บ้านผ่านบรรยากาศที่น่ากลัวไม่น้อย มันทั้งเงียบทั้งเปลี่ยว! โชคดีที่ผมเป็นคนไม่กลัวผี  ไม่งั้นคงจะอยู่ไม่ได้

ภาพการรองน้ำไว้ใช้ทำให้ผมอดคิดถึงชีวิตช่วงอาศัยอยู่ที่บางบัวไม่ได้  จำได้ว่าตอนย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ ๆ ผมต้องขอดน้ำที่เหลืออยู่ก้นตุ่มประมาณ ๔-๕ ขันเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปเล่นเปียโน พอฝนตกลงมา ผมดีใจมาก รีบรองน้ำฝนใส่ภาชนะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็แค่เต็มตุ่มเต็มกาละมัง เพราะผมไม่มีภาชนะอื่นอีก

นับเป็นภาพชีวิตยากลำบากซึ่งผมไม่เคยลืม…

 

กลับมาคุยเรื่องรถยนต์คันที่ 2 ของผมดีกว่า ขายซากเจ้า Hillman ไป ผมก็ไม่ได้ใช้รถยนต์อีกนาน หลังจากลาออกจากโรงพยาบาลสวนดอกเพื่อไปเรียนดนตรีต่อที่แผนกดุริยศิลป์ วิทยาลัยพายัพ อีก 4 ปีผมมีแต่มอเตอร์ไซค์คันเดียว เรียนจบอยากปั่นจักรยานไปเรียนต่อที่เมกาเหมือนอาจารย์ปรีชา ผู้บุกเบิกคนแรกแต่ก็ผิดหวัง... ชีวิตผมผันแปร นำจักรยานลงกรุงเทพอย่างที่เห็น


หลังจากไปนอนหาดบางแสน ผมก็คิดหางานทำ ได้ติดต่อเพื่อนนักดนตรี มือแซกโซโฟนชื่อ "โกยิ่ง"  และในที่สุดก็กลายไปเป็นนักดนตรี (เล่นคีย์บอร์ด) ที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งในจังหวัดสกลนคร หลังจากนั้นก็กลับเชียงใหม่ ไปฝึกเล่น Electone กับอาจารย์วินัย สว่างงาม แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นมืออีเลคโทนหากินตามจังหวัดต่าง ๆ ชีวิตเข้มข้นมากล้นด้วยเรื่องราว ผมไม่ขอเล่า ข้ามไปจนถึงตอนกลับไปอยู่เชียงใหม่ วันนึงแม่มาบอกว่ามีคนจะเอารถปิกอัพมาขายให้ ราคา 6 หมื่นบาท เป็นรถสภาพดีทีเดียว อู่ที่อยู่หน้าบ้านเขาแนะนำมา มันคือรถปิกอัพยี่ห้อ Mazda ขนาด 1,000 CC อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนั่นแหละ! ผ่อนรถกับบริษัทไฟแนนซ์...ผมใช้เจ้ามาสด้าอยู่หลายปี ทั้งขับไปเล่นดนตรีที่โรงแรมรินคำและอื่น ๆ ไปเรียนต่อภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยพายัพ พา Mom Alice จากแคนาดาไปเที่ยว และอื่น ๆ อีกมากมาย
 
 
โง่มาก!! จากรถที่เครื่องยังสภาพดี 1,000 CC ผมดันไปซื้อเครื่อง 1,200 จากเชียงกงมาเปลี่ยนเพื่อติดแอร์ แต่ก็ใช้มันเรื่อยมา
 
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งต้องเดินทางไปออสเตรเลีย ผมได้ขายเจ้า Mazda ให้กับคุณแหม่มนักร้องในราคา 45,000 ปิดฉากบทบาทกับรถยนต์คันที่ 2 นับแต่นั้นมา!

Wednesday, May 29, 2024

รถยนต์คันแรกของผม

ลายปีที่ไม่มีรถยนต์...ต้องใช้จักรยานซึ่งมีอยู่หลายคันแทน ไม่ว่าใกล้ไกลผมไปได้หมด หากท่องเที่ยวแดนไกลก็ใช้จักรยานพับใส่รถไฟหรือรถยนต์โดยสารไป 
 
 
เป้าหมายสุดท้ายก็จะอาศัย "สหัสเดช" จักรยาน 12 speed DIY ใช้เฟรม Giant ปั่นไปให้ไกลสุดขอบฟ้า...
 
 
 
นอกนั้นผมก็ยังมีเจ้าแชมป์ (พับได้) เอาไว้ปั่นเล่นใกล้ ๆ

 
แล้วยังมีเจ้า Bruiser จักรยานเสือภูเขาล้อ 26 นิ้วที่ผมซื้อเฟรมเก่ามา upgrade...
 
 
คันนี้ใช้งานทั่วไปในตัวเมืองห้างฉัตร ปั่นไปโรงพยาบาล ตลาด ร้านขายของชำ ฯลฯ ผมเคยคิดว่าจะทำเป็นจักรยานไฟฟ้า แต่ไม่อยากเป็นทาสสินค้าจีนและเทคโนโลยีที่ไม่ยั่งยืน ก็เลยล้มโครงการ
 

อ้าว!  ว่าด้วยเรื่องรถยนต์แล้วทำไมมาโวเรื่องจักรยาน? คำตอบคือผมเพียงอยากเกริ่นปูทางเรื่องรถยนต์เท่านั้น ด้วยเหตุว่าตราบใดที่ยังมิได้โบกมืออำลาแผ่นดินเกิดไปอย่างถาวร...ผมก็ยังคงต้องมีรถยนต์อีกสักคันเพื่อขับไปโรงพยาบาล ไปหาหมอตาในตัวเมืองลำปาง ไปขนของหนัก ๆ รวมทั้งให้บริการพี่ชายผู้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปซะแล้ว! คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหารถยนต์เก่า ๆ ราคาถูกไว้ใช้งานซึ่งจักรยานไม่สามารถทำได้ แต่ก่อนที่จะเขียนถึงรถยนต์คันสุดท้าย ผมก็อยากเล่าเรื่องรถยนต์เก่าที่เคยซื้อใช้ในช่วงชีวิตตั้งแต่หนุ่มยันแก่ให้เพื่อน ๆ ฟังซะหน่อยก่อน
 
เรียนจบอีเล็คทรอนิคส์ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ (ทุ่งมหาเมฆ) ผมทำงานเป็นช่างซ่อมเครื่องมือแพทย์ที่บริษัทวิทยาคมจำกัดได้พักนึง จากนั้นก็ลาออกแล้วกลับไปอยู่เชียงใหม่ ได้รับราชการตำแหน่ง "ช่างตรี" ที่โรงพยาบาลสวนดอก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
 
  
 
เมื่อมีงานมีการทำ...ผมก็เริ่มมองหารถยนต์ขับทั้ง ๆ ที่ยังขับไม่เป็น ก็ได้พี่นิเวศน์ ณ ลำปาง เป็นผู้พาไปซื้อรถยนต์ยี่ห้อ Hillman จากอู่แห่งหนึ่งแถวสี่แยกถนนโชตนาในราคา 8,000 บาท (ต้องไปกู้เงินคุณนายท่านนึง)
 
พี่เวศน์เล่นกีต้าร์อยู่ด้านซ้ายของเวที...
 
 เป็นรถอังกฤษ (made in England) ผมไปค้นหาในอินเทอร์เน็ตจนเจอรูปที่ตรงกับคันที่ผมซื้อนั่นเลย...
 
 
สีก็สีเดียวกัน...

พวงมาลัย ไฟเลี้ยว ก็อย่างเนี้ยแหละ....

ด้านข้างระหว่างประตูหน้าและหลังมีแขนไฟเลี้ยวยกขึ้นลง (นำภาพ Hillman อีกคันมาให้ดู จะเห็นแขนไฟเลี้ยวที่ว่าชัดหน่อย!!) 

ผมพอจะบอกได้ว่าซื้อเจ้า Hillman รถยนต์คันแรกนั่นก่อนปี 2515 ซึ่งมีการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น จำได้ว่าผมเขียนติดกระจกหลังว่า Japan Go Home นักหนังสือพิมพ์ยังแวะมาถ่ายรูปเลย

พี่นิเวศน์ ณ ลำปางอีกนั่นแหละที่สอนผมให้ขับรถจนเป็น ทุกเช้าผมจะขับเจ้า Hillman ไปทำงานที่โรงพยาบาลสวนดอก ส่วนตอนเย็นก็ขับไปรับพี่นิเวศน์ไปทำงานเล่นดนตรีด้วยกันที่ร้านอาหารศรีสุรางค์ สี่แยกแจ่งหัวริน 

จำได้ว่าที่บ้านพี่นิเวศน์ให้เช่าทำอู่ซ่อมรถ Hino มีช่างมือรองคนหนึ่งช่วยยกเครื่องเจ้า Hillman ให้แบบไม่คิดค่าแรง ผมซึ่งเป็นลูกมือก็ได้เห็นการบดวาวล์ การยกเครื่องลง การตัดประเก็น และอื่น ๆ

สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับรถคันแรก ผมจำได้ว่าครั้งนึงผมเลี้ยวตรงสี่แยกช้างเผือก ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ซึ่งวิ่งไปทางแม่ริม พบต้องเลี้ยวยูเทิร์นหลบเพื่อไม่ให้ประสานงาอย่างจัง แต่ก็ยังทำให้มอเตอร์ไซค์คันนั้นล้ม  คนขี่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อีกครั้งนึงขณะเล่นดนตรีอยู่ ผมให้ช่างคนหนึ่งนำรถไปจัดการเรื่องแบตเตอรี่ ปรากฏว่าเค้าเอาไปชนจักรยานสองผัวเมียที่ใกล้สี่แยกช้างเผือก ผมต้องพาไปส่งสวนดอกและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ทั้งสองเหตุการณ์อยู่ในความทรงจำของผมมาตลอดเลยล่ะ

ท้ายที่สุด...เจ้าคนภูเขาก็ตายสนิท ผมจอดทิ้งไว้หน้าบ้าน มีคนมาขอลากไปในลักษณะเศษเหล็ก เป็นอันสิ้นสุดเรื่องราวรถยนต์คันแรกของผม   

หาซื้อ urine bag ในห้างฉัตร

พี่ชายผมไปนอนโรงพยาบาลได้สองคืน วันรุ่งขึ้นโรงพยาบาลก็โทรแจ้งให้ผมไปรับกลับบ้าน!

 
กลับถึงบ้านอย่างทุลักทุเล เขาไม่ยอมแม้แต่จะทรงตัวหรือก้าวขา จึงต้องจัดให้นอนอยู่ชั้นล่าง ซึ่งตามมาด้วยการปัสสาวะชุ่มโชกที่นอน ยากต่อการทำความสะอาด ทำให้เกิดแผลกดทับด้วย
 
 
ผมต้องขอรถกู้ภัยเทศบาลแม่ตาลให้มารับไปโรงพยาบาลเพื่อใส่สายสวนคาปัสสาวะ....
 
phyathai3hospital.com กล่าวว่า...
การใส่สายคาปัสสาวะ คือ การสอดใส่ สายยางสำหรับสวนปัสสาวะ ที่ปลอดเชื้อ แบบมีลูกโป่งที่ปลายสาย ผ่านปากช่องท่อ ปัสสาวะ เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ แล้วจะใส่น้ำปราศจากเชื่อเข้าไปทางท่อที่ทำให้ลูกโป่งพองออกมาสายสวนจึงเลื่อนออกมาไม่ได้ ทำให้น้ำปัสสาวะไหลออกมาได้

พี่ชายใส่สายคาปัสสาวะมาได้พักนึง ผมต้องทำความสะอาดด้วยน้ำเกลือและเทถุงปัสสาวะ (urine bag) ทุกวัน มีคำแนะนำบอกว่าควรเปลียนสายสวนทุก 2 สัปดาห์ – 1 เดือนที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน และให้เปลี่ยนถุงปัสสาวะเมื่อเริ่มสกปรก การพาพี่ชายไปเปลี่ยนสายสวนที่โรงพยาบาลคงไม่สามารถทำได้ เพราะเขาไม่ให้ความร่วมมือในการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ผมเริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติ คือมีหนองผสมออกมา อีกทั้งปัสสาวะก็มีกลิ่นแรงด้วย!

สายที่ต่อกับถุงปัสสาวะเริ่มสกปรก ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนถุงเก็บปัสสาวะให้ได้ในวันนี้ ตอนสาย ๆ ผมปั่นจักรยานไปหาซื้อถุงปัสสาวะ (urine bag) พบว่าร้านขายยา 3 ร้านในห้างฉัตรไม่มีขาย โชคดีเหลือเกินที่ตัดสินใจปั่นรถไปร้านที่ 4 ซึ่งเป็นร้านสุดท้าย คือร้านเจริญเภสัช ใกล้กับสี่แยกไฟแดง...

เป็นร้านเดียวในห้างฉัตรที่มีจำหน่าย (set ละ 45 บาท) ผมดีใจมาก...ซื้อกลับมาเปลี่ยนให้พี่ชายทันที!

หลังจากนั้นผมก็ค้นหาใน Shopee แล้วสั่งซื้อมาอีก 1 แพ็ค (10 ชิ้น) ราคา 180 บาท

พี่ชายจะอยู่ได้ใช้หมดทั้ง 10 ชิ้นหรือเปล่า? ผมไม่รู้!

ตายเย็น

มได้นิตยสาร Wilderness ของ New Zealand ฉบับเดือน June 2024 มาอีกหนึ่งเล่ม...
 
ภาพจากนิตยสาร Wilderness - ขอขอบคุณ
 
เห็นหน้าปกซึ่งลงรูป Tongariro Alpine Crossing (As you've never seen it before) แล้วบอกตัวเองว่าผมคิดไม่ผิดที่จะเลือก New Zealand เป็นจุดหมายใช้จบชีวิตการเดินทาง วิกิพีเดียให้ข้อมูลว่า...
Tongariro Alpine Crossing อยู่ในอุทยานแห่งชาติ Tongariro เป็นเส้นทางเดินป่าในนิวซีแลนด์ และเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าแบบไปเช้าเย็นกลับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศ อุทยานแห่งชาติตองการิโรเป็นมรดกโลกที่มีความโดดเด่นในด้านความเป็นสองสถานะ เนื่องจากได้รับการยอมรับทั้งในด้านความสำคัญทางธรรมชาติและวัฒนธรรม

ถ้าจะตายอย่างมีความสุข ที่นี่มีให้เลือกทั้งแบบตายร้อนและตายเย็น!!

ภาพจากนิตยสาร Wilderness - ขอขอบคุณ
 
 
www.lovetaupo.com กล่าวว่า...
The Tongariro Alpine Crossing is an incredible 19km journey through the Tongariro National Park, a UNESCO Dual World Heritage Park recognised for its spiritual and cultural significance as well as its outstanding volcanic features. The trail takes in some of the most dramatic landscapes you will ever see — cold mountain springs, ancient lava flows, steam vents and the spectacular Emerald Lakes.
ภาพจาก www.lovetaupo.com - ขอขอบคุณ
 
Facebook ของโรงพยาบาลสินแพทย์ รามอินทรา เขียนว่า...
อากาศหนาวจัด ทำให้ร่างกายเกิด “ภาวะตัวเย็นเกิน” (Hypothermia) ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีอุณหภูมิลดต่ำลงมาก ทำให้อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส เป็นเหตุให้อวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมองได้รับผลกระทบและทำหน้าที่ผิดปกติ จนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุ เด็กทารก ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ภาวะขาดสารอาหาร ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ผู้ที่ทานยากลุ่มยานอนหลับ บุคคลกลุ่มนี้ร่างกายจะเสียกลไกในการปรับอุณหภูมิ ทำให้ไม่สามารถเผาผลาญเพื่อสร้างความร้อนและเก็บความร้อนไว้ในร่างกายได้....ระยะแรกผู้ป่วยจะมีอาการสั่น อ่อนเพลีย ซึม สับสน พูดไม่ชัด ต่อมาเมื่ออุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงไปอีก ผู้ป่วยจะหยุดสั่น มีอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว ในที่สุดจะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น
ภาพจากนิตยสาร Wilderness - ขอขอบคุณ
 
การเดินทางด้วยจักรยานใน Australia จาก Darwin ไปให้ถึง Tasmania ก็มีการตายให้เลือกทั้งตายร้อนและตายเย็น ตายด้วยพิษงูก็หาได้ไม่ยาก!



ยังไม่เลือกให้กับตัวเองหรอกว่าจะตายร้อนหรือตายเย็น???  แต่สำหรับพี่ชายของผม ผมติดตั้งมุ้งแอร์ให้เรียบร้อยแล้ว ยอมจ่ายค่าไฟเปิดครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ขนาด 6000 BTU ทั้งวันทั้งคืนให้เขาได้นอนสบาย ๆ ในบั้นปลายของชีวิต...


ถ้าจะตายก็ขอให้พี่ตายเย็นละกัน!

Tuesday, May 28, 2024

The blue violin

ลืมไปแล้วว่าตาแก่บ้านห้างฉัตรผมเคยสอนนักเรียนผู้ใช้ไวโอลินสีน้ำเงินคนนี้ที่ไหน?  
 
 
น่าจะโตเป็นสาวแล้วล่ะ นักเรียนคงจำไม่ได้ว่าคนที่เคยสอนให้เล่นไวโอลินนั้นชื่ออะไร...และตอนนี้ตาแก่คนนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?

ค้นเจอรูปภาพเก่า ๆ ผมรู้สึกดีใจ ทำให้รู้ว่าเคยใช้เทคนิคช่างเหอะมาใช้สอนให้นักเรียนให้จับไวโอลิน

เทียบมาตราอัตราส่วน ห่าง-ชิด-ห่าง ต้องวางนิ้วให้ตรงจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ้วสี่ที่ต้องไม่ให้ flat

 
น้องบาร์บี้...ผมก็คิดถึงนะ

เสียดายจัง ผมอยากสอนเครื่องสายเด็ก ๆ อีก แต่สังขารคงไม่อำนวย!! 

External enclosure ช่วยเพิ่มหนังสือในห้องสมุดเด็ก

มี HDD 3.5 นิ้วเกือบสิบตัว...ผมใช้เก็บไฟล์ต่าง ๆ มากมาย พร้อมที่จะเปิดมาใช้งานในด้านการศึกษาให้สมกับเรียกร้านเปียโนห้างฉัตรของผมว่าเป็นห้องสมุดเด็ก
 
 
จากที่ได้ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงและผ่าน external enclosure ซึ่งมีอยู่แล้ว ผมยังเหลือเจ้าฮาร์ดดิสก์ตัวเก็บข้อมูลอีก 3-4 ตัวที่วางไว้ข้างนอกเฉย ๆ จึงต้องหาซื้อ external enclosure มาใส่เพิ่ม เพื่อให้สามารถเรียกดูข้อมูลที่เก็บไว้ได้...
 
 
เห็นเคสเปล่า WD External ขนาด 3.5" (มือสอง) จำหน่ายอยู่ใน Shopee ราคาตัวละ 109 บาท ผมตัดสินใจสั่งซื้อ 2 ตัว ได้มาแล้วครับ...

 
ใส่มาในกล่อง แกะออกดูแล้ว ต้องหาวิธีใส่เจ้าฮาร์ดดิสก์ของผมลงไป...
 
 
 เขามีเคสเปล่ามาให้พร้อมกับวัสดุสำหรับติดตั้งและแผงวงจร...แต่ไม่มีบอกไว้ว่าประกอบอย่างไร!!
 
 
ใช้ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2 TB ที่มีอยู่ !! ช่างเหอะต้องประกอบให้ได้ โดยอาศัยการลองผิดลองถูก
 
 

ใช้เวลาอยู่นานทีเดียว ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ...


ใช้งานได้แล้วทั้งสองตัว...  (adapter ขนาด 12V มีอยู่แล้ว)

 
 
ใช้เก็บไฟล์ได้อีก 4 TB เพื่อน ๆ อยากได้ตำราหรือโน้ตเพลงอะไร ลองแจ้งมานะ ถ้ามีจะส่งให้ครับ!

แป้งโฮลวีทเนื้อละเอียด

กติผมทำขนมปังโดยใช้แป้งโฮลวีทเนื้อหยาบ พอดีไปเจอแป้งโฮลวีทเนื้อละเอียด Atta จากร้าน Indian Grocery Service เข้า ก็เลยอยากจะลองทำขนมปังโฮลวีทจากแป้งเนื้อละเอียดดูบ้าง...

 
ถุงละ 1 กิโลกรัม ราคา 45 บาท... 
 
 
ผมสั่ง 2 ถุง Shopee ลดค่าส่งให้เหลือแค่ 16 บาท รวมจ่าย 106 บาท...


ทำง่าย ๆ ตามประสาช่างเหอะ...ใช้แป้งที่ได้มา 2 ถ้วยตวง (คิดเป็นน้ำหนักได้ 1,000 - 775 = 225 กรัม)

ผสมน้ำ 1 ถ้วยตวง กับยีส น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช ทำตามขั้นตอนออกมาแล้วดังนี้...


ได้ขนมปังโฮลวีทน้ำหนัก 361 กรัม!!

 
 เนื้อนุ่มน่ากิน รสดีกว่าที่เคยทำด้วยแป้งโฮลวีทแบบหยาบ....
 
 

จึงอยากนำมาแนะนำเพื่อน ๆ  ทำเองได้ขนมปังโฮลวีทราคาถูกกว่าไปซื้อห้างครับผม!