Tuesday, January 31, 2012

ครูผู้สอนให้ผมรู้จักการถ่ายภาพ…

วันสุดท้ายของการให้รางวัลตัวเองกำลังจะผ่านไป!! จริง ๆ แล้ว…ในช่วงปิดเทอม ๑ เดือนที่ผ่านมา ผมก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่หวังไว้แม้แต่อย่างเดียว อยากไปเที่ยวลาวเหนือก็ไม่มีตังค์ แถมคนที่อยู่ข้างล่างก็ไม่ยอมฟื้นฟูสภาพตัวเอง ยังคงนอนรออาหาร ๓ มื้ออยู่เหมือนเดิม! แล้วผมจะไปลาวได้อย่างไร!! แต่ก็ประจวบเหมาะกับการจากไปของเจ้ามิวซาว ถึงได้ไปเที่ยวที่ไหน ผมก็ไม่มีกล้องที่่จะใช้บันทึกภาพอยู่ดี…

วันก่อนได้ดูเรื่องราวของช่างภาพชื่อดังแห่งเมืองชิคาโก คือคุณเอมี่ ฮาน่า หรือ ปิยฉัตร ไชยศร เธอเคยเรียนพยาบาลที่แม็คคอร์มิคแล้วไปทำงานในอเมริกา รักการถ่ายภาพมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสืออยู่ที่ปริ้นส์รอยฯ แล้วล่ะ ตอนเรียนก็อาสาเป็นตากล้องให้เพื่อน ๆ อยู่เป็นประจำ พอไปเป็นพยาบาลอยู่ที่อเมริกาก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเป็นอย่างดี วันหนึ่งไปอ่านเจอประกาศบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่า Photographer needed! จึงได้โทรไปติดต่อ ทางบริษัทบอกให้นำผลงานไปให้ดู พอได้เห็นเท่านั้น …บอกรับให้เข้าทำงานเป็นช่างภาพงานแต่งงานทันที!

ผมฟังเรื่องช่างภาพในชิคาโกแล้ว…คิดถึงคุณเมธีครับ ป่านนี้คงมีผลงานสวย ๆ สะสมไว้จำนวนนับไม่ถ้วน ผมชื่นชอบการเขียนของ ดร. ตัวจริงมาก ๆ ยังเคยคิดเลยว่าคุณเมธีน่าจะเขียนหนังสือที่มีภาพผลงานตัวเองออกจำหน่าย ผมอยากเห็นและอยากอ่านจริง ๆ ครับ

อีกคนนึงที่ผมคิดถึงก็คือ “ป้าจิ๊ก” ที่ present-friend.pantown.com

สมัยที่ผมเรียนอยู่เทคนิคกรุงเทพ มีเพื่อน ๒ คนที่เล่นกล้องและรับหน้าที่ถ่ายภาพกิจกรรมอยู่เป็นประจำ คนแรกคือคุณชัชรินทร์ วงศ์สงวน หรือที่ผมเรียกว่า “บ่ามืด” คน ๆ นี้เรียนช่างไฟฟ้า-อีเล็คทรอนิคส์ แต่จบแล้วกลับไม่ได้ทำงานในสายที่เรียนมา ได้ข่าวว่าไปเป็นนักเขียน เป็นผู้จัดการโฆษณาขายรถ ไปบริหารงานสวนสนุก ฯลฯ อะไรทำนองนั้น แม้กระทั่งทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นคุยเรื่องรถลงใน FB อยู่เป็นประจำ



คนยืนซ้ายสุดคือคุณชัชรินทร์  ในสมุดบันทึกเล่มเงิน ผมยังมีภาพหุ่นตอนที่คุณชัชรินทร์ไปเรียนการถ่ายภาพแล้วต้องฝึกถ่ายเก็บไว้เลยครับ พอดียังหาสมุดภาพดังกล่าวไม่เจอ ไม่งั้นคงได้นำมาให้ได้ดูกัน ส่วนช่างภาพอีกคนหนึ่งซึ่งผมคิดถึงมาก ๆ ก็คือ “ประจิต” หรือที่ผมเรียกว่า “ไอ้จิต”

ประจิตตีกลองให้ผมร้องเพลง I Wanna Be Free ที่หอประชุม วทก. ถ้าจำไม่ผิดประจิตน่าจะเป็นคนโคราช เพื่อนคนนี้แหละ…ที่สอนผมในเรื่อง “การจัดองค์ประกอบในการถ่ายภาพ (Composition)” โดยใช้ปากกาหมึกซึมขีดเส้น ๔ เส้นในกรอบสี่เหลี่ยมลงบนแผ่นกระดาษชิ้นเล็ก ๆ แล้วอธิบายให้ผมรู้จัก “จุดตัด ๙ ช่อง”


ทั้งชัชรินทร์และประจิต คือครูผู้สอนการถ่ายภาพให้กับผม แม้ว่าทั้งสองท่านจะลืมไปแล้ว แต่ผมไม่เคยลืมครับ…


-----------------------------------------------------------------------
Note : ภาพจุดตัด 9 ช่องนำมาจาก krungshing.com ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้

Monday, January 30, 2012

ครูต้น...

เช้านี้ลำปางมีฝนตก ช่วงบ่ายร้อน ค่ำลงอากาศเย็น วันนึงมี ๓ ฤดู….มันเป็นสัญญาณเตือนว่าในอนาคต เราคงไม่พ้นที่จะพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งจะมีเพิ่มขึ้นและหนักขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อวานนี้ ครูต้นแวะมาเยี่ยมเยียน ผมได้ยินเสียงตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน ในขณะที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปซ้อมดนตรีกับคุณปิว มือแบนโจวง “ดิเอ็นสะแม้ง” ครูต้นนำแอปเปิ้ล ชมพู่ และส้มเขียวหวานมามอบให้ พร้อมกับแจ้งข่าวดีว่าได้รับการบรรจุเรียบร้อยแล้ว ผมก็พลอยดีใจไปกับลูกศิษย์คนนี้…


ผมอยากให้ความมั่นใจนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนที่มหิดล จุฬา หรือพายัพ ว่า “เรียนที่ไหนก็ได้ ทุกคนสามารถจบออกไปทำงานในตำแหน่งซึ่งมีความก้าวหน้าและมั่นคงได้เสมอ”  แม้จะเรียนที่ราชภัฏลำปางหรือที่ไหนก็ตาม ขอเพียงให้ตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง หาความรู้ตั้งแต่นาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้าไป หมั่นฝึกฝน และเปิดใจกว้าง ความสำเร็จนั้นรอคอยอยู่เบื้องหน้าแล้ว! เผลอ ๆ อาจจะได้ดีกว่าคนที่จบสถาบันดัง ๆ ด้วยซ้ำ ขนาดบางคนเรียนบ้างเล่นบ้าง (อย่างที่ผมเคยเห็นในช่วงที่ไปช่วยสอน) เขาเหล่านั้นก็ยังจบออกไปบรรจุเป็นครูดนตรีอยู่ตามโรงเรียนต่าง ๆ ได้ในที่สุด ทุกคนล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จนเป็นที่น่ายินดีสำหรับคนไร้ตำแหน่งเช่นลุงน้ำชา…

นาน ๆ จะมีโอกาสได้พบลูกศิษย์…ผมจึงถือโอกาสพาครูต้นและน้องแหม่ม(เพื่อนคู่หู)ไปดื่มกาแฟที่ Cowboy Corner จากนั้นก็พาไปดูงานที่โรงเรียนดนตรี Cherney Music ทำให้ได้พูดคุยกับครูหนิงครูไวโอลินของที่นั่น….


ไปเห็นกิจการของโรงเรียนดนตรี Cherney….ทำให้ได้รู้ว่าภายในนั้นหรูหราเกินคาด ไม่น่าเชื่อว่าอาคารหลังเล็ก ๆ ข้างในจะมีห้องเรียนอยู่หลายห้อง มีทั้งแกรนด์เปียโนยี่ห้อ Yamaha ในตู้โชว์มีไวโอลินราคาแพง บนฝาผนังแขวนจอภาพขนาดใหญ่เปิดฉายคอนเสิร์ทภาพคมชัดอยู่ตลอดเวลา อืมม์…สมแล้วครับที่เป็นโรงเรียนดนตรีมีชื่อ เจ้าของเป็นนักเปียโนหนุ่มไฟแรง ซึ่งจบทางด้านนี้โดยตรงมาจากเมืองนอก!!

ประมาณสี่โมงเย็น ครูต้นเดินทางกลับไปวังชิ้น ส่วนผมก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน มีความรู้สึกเบาหวิว ความคิดลอยล่อง ทั้งที่ยังไม่เข้าบ้าน…ก็มองเห็นเข้าไปในห้องที่ใช้สอนเด็ก ๆ ซึ่งเคยถูกน้องดาต้าชี้ให้เห็นถึงความสกปรก ผมคิดถึงน้องบาร์บี้ซึ่งแสดงความหวาดกลัวเจ้ากิ้งกือที่แกว่งขาจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้นห้อง คิดถึงยุงปากแหลมที่คอยจ้องดูดเลือดเด็ก ๆ รวมทั้งรูปภาพคีตกวีขนาดเล็กที่พิมพ์เองแล้วใส่ลงในกรอบรูปเล็ก ๆ นำขึ้นแขวนไว้บนผนัง

เมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่ ๆ เพิ่งไปเห็น ผมแทบจะต้องซุกหน้าหนี…

คิดถูกแล้วที่ผมปลดป้ายรับสอนดนตรีออก…


ก่อนถึงสะพานดำ ผมรู้สึกเหนื่อยจนต้องหยุดพัก!!

เปรียบชีวิต…ผมก็คงไม่ต่างจากตะวันซึ่งกำลังตกดิน อีกไม่นานฟ้าก็จะมืด ถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว!

Saturday, January 28, 2012

นิตเทพ นราธิป


 
ในที่สุดผมก็ทำได้สำเร็จก่อนสิ้นเดือนตามที่ตั้งใจไว้ วันนี้หนังสือ “ข้ามน้ำสามทวีป” ได้ถูกนำขึ้นเว็บให้เพื่อน ๆ ได้อ่านจนจบเล่มแล้ว มีด้วยกัน ๒๔๗ หน้า ท่านที่อ่านถึงหน้า ๑๕๐ ก็คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ เลย

หรือเพื่อสะดวกในการอ่าน ผมได้แปลงให้เป็น PDF เรียบร้อยแล้วครับ สามารถคลิกดาวน์โหลดไฟล์ pdf หนังสือ “ข้ามน้ำสามทวีป” (ขนาด 26 MB) ได้ ที่นี่

เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม คุณ Nvarat Poolswasdi ได้ comment ไว้ว่า…
ผู้เขียนข้ามน้ำสามทวีปนั้นเป็นน้าชายของเพื่อนผมเองครับ ท่านล่วงลับไปเมื่อกลางปี 2010 นี้เอง เหลือแต่เรื่องราวที่ลุงน้ำชาได้ถ่ายทอดให้ผมได้ติดตาม….
ผมขอกราบคารวะต่อดวงวิญญาณของนักผจญภัยผู้กล้าหาญ

ถ้าการนำ “ข้ามน้ำสามทวีป” ขึ้นเว็บให้ผู้สนใจได้อ่านครั้งนี้จัดว่าเป็นประโยชน์ ผมใคร่อุทิศความดีทั้งหมดให้กับผู้เขียน คุณนิตเทพ นราธืป คนไทยคนแรกที่ได้สร้างประวัติศาสตร์การผจญภัยอันยิ่งใหญ่ด้วยการขับรถลุยเดี่ยวจากอเมริกามายังเมืองไทยเมื่อ ๔๔ ปีที่แล้ว…

“ข้ามน้ำสามทวีป” คือตำนานการเดินทางอันยิ่งใหญ่ ผมโชคดีจริง ๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราว!

Friday, January 27, 2012

ศพเกลื่อน!!

วันนี้ขอทำหน้าที่สัปเหร่อซักวันเหอะ… ผมนำซากกล้องถ่ายรูปดิจิตอลที่เคยรับใช้ผมขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ มันเป็นศพที่ไม่เน่าเปื่อย ไม่ส่งกลิ่น แต่ก็ถึงเวลาอันควรแล้วที่จะต้องบรรจุซากทั้งหมดลงถุง เพื่อทำตามคำแนะนำที่ว่าปีนี้เราต้องกำจัดสิ่งของที่รกรุงรังและไม่ได้ใช้ ออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 


ก่อนอื่นก็อยากทำหน้าที่แทนคุณหมอพรทิพย์ในการชันสูตรพลิกศพ เอ๊ย…ไม่ใช่ ก็แค่อยากจะแกะออกมาดูตับไตไส้พุงของกล้องบางตัวเท่านั้น ต้องมีเครื่องมือสำหรับชำแหละซึ่งไม่ใช่มีดผ่าตัด แต่เป็นไขควงแบบที่ช่างนาฬิกาเค้าใช้กัน ผมไปดูที่ร้าน “เล่าจิ้นกวง” เห็นมีขายเป็นชุด ราคา ๑๖๐ และ ๑๔๐ บาท โห…แพงจัง ไม่ซื้อ!! ขี่รถไปซื้อที่แผงขายของจิปาถะหน้าโรงหนังเก่าใกล้ตลาดอัศวิน ได้มาแล้วครับ….



ทั้งกล่องราคา ๑,๐๐๐ สตางค์ เป็นเครื่องมีคุณภาพต่ำ แต่ก็หวังว่าจะใช้งานได้ ผมนำเจ้ามิวซาวที่เพิ่งเดดซะมอเร่ไปขึ้นมาวางไว้ด้วยอีกหนึ่งศพ


ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ส่งเจ้ามิวซาวไปชุบชีวิตที่ไหน เพราะดูจากสภาพแล้วคงไม่มีหวัง แบตเตอรี่ก็เสื่อม ที่ชาร์จก็พัง ดูตรงรอยถลอกที่แผ่นปิดหน้าเลนส์ก็รู้แล้วว่ามันถูกใช้งานมาหนักหนาแค่ไหน ผมอยากรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุทำให้เจ้ามิวซาวต้องจบชีวิตเท่่านั้นเอง!

ซื้อมา ๑,๗๐๐ บาท ตั้งแต่เจ้ามิวซาวยังสวยเช้งวับ จากนั้นก็ใช้มา ๓ ปีเต็ม ตีว่า ๑,๐๐๐ วัน ถ้าถ่ายวันละ ๑๐ ภาพ ก็เท่ากับว่าผมใช้งานมันมานับหมื่นครั้ง ตากแดดตากฝน ลุยน้ำ (แต่ไม่ลุยไฟ) มาก็หลายครั้ง ตกหรือ! ๒-๓ ครั้งเห็นจะได้ สมควรแล้วที่ต้องปิดฉากการเดินทางอยู่ในกระเป๋ากางเกงร่วมไปกับผม….



ชันสูตร…พบแล้วว่าอะไรเป็นตัวที่ทำให้เจ้ามิวซาวต้องจากไป!!! ผมพยายามที่จะชุบชีวิตให้มันกลับมาลืมตาได้อีก แต่ก็ได้เพียงการหายใจเป็นเฮือก ๆ ก่อนที่จะเงียบไปอีก คงเยียวยาไม่ได้แล้วล่ะ!! อนิจจัง วัตสังขารา ท้ายที่สุดผมก็ต้องทำใจ…

ในบรรดาซากศพที่เห็น ยังมีอีกหนึ่งศพที่ผมไม่สามารถนำมาฌาปนร่วมกับเพื่อน ๆ เจ้าตัวนั้นคือ Fufifilm finepix s5000 ซึ่งผมประมูลมาตั้ง ๖ พัน แต่ใช้งานได้ไม่นานก็เสีย ผมนำไปให้ช่างซ่อม เค้าบอกว่าต้องรออะไหล่ แล้วนายช่างคนนั้นก็มีอันต้องย้ายไปทำงานที่จังหวัดอื่น เขานำทุกอย่างไปด้วย ไม่ว่า ตัวกล้อง momory card แบตเตอรี่และที่ชาร์จ ตั้งแต่นั้น…ผมไม่เคยได้พบหน้านายช่างอีกเลย  วันนี้ถ้ามีเจ้าฟูจิอยู่ด้วยก็คงดี จะได้ฌาปนไปด้วยกันเลย  นี่ยังไม่รวมกล้องฟิล์มและเลนส์ซูมอีกหลายตัวนะ!!

เอ้า…ถ่ายภาพเจ้า Polaroid กล้องดิจิตอลตัวแรกในชีวิตของผม มาให้ดูชัด ๆ หน่อย หลายพันนะเนี่ย! ช่วงนั้นใครได้ใช้กล้องดิจิตอลก็นับว่าทันสมัยสุด ๆ แล้ว



เจ้า Toshiba ตัวนี้ก็พังไปกับมือ!!



เจ้า Nikon Coolpix 2500 ตัวนี้ถ่ายภาพออกมาดีเหมือนกัน พอดีไปทำตกที่อุทัยธานี ตั้งแต่นั้นก็เลยรวนมาเรื่อย ๆ จนตายสนิท!


Canon PowerShot S200 ตัวนี้ได้มาก่อนเจ้ามิวซาว เคยพาไปเที่ยวสิงคโปร์ หลังจากนั้นไม่นานก็กลับบ้านเก่า!


เอาหละ…ได้เวลาลงถุงแล้ว RIP นะที่รัก!

Monday, January 23, 2012

ค้นพบตำราหีบเพลง...

 
รับปากไว้ว่าจะต้องสแกน "ข้ามน้ำสามทวีป" นำลงใน "หนังสือเก่าของผม" ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือน เมื่อวานนี้ผมเร่งมือสแกนและนำขึ้นเว็บได้อีกจนถึงหน้า ๑๕๐  คิดว่าคงทำได้ทันเพราะยังเหลืออยู่เพียง ๙๔ หน้าเอง...

พูดถึงเรื่องหนังสือ โชคดีจังที่ผมค้นเจอตำราแอคคอร์เดียนของ Palmer-Hughes เล่ม ๓ แล้ว ต่อไปคงได้นำเสนอให้เพื่อน ๆ ที่สนใจเล่นหีบเพลง รวมทั้งใช้ฝึกฝนให้ตัวเองด้วย มีเพลงเพราะ ๆ อยู่หลายเพลง ดังเช่น Little Brown Jug Polka, Cielito Lindo, Fascination, Santa Lucia, ฯลฯ


นอกจากนั้น ผมยังได้เจอหนังสืออีกเล่มนึง โผล่ออกมาได้ยังไงไม่รู้  เล่มนี้ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยทำ "ไทยประเสริฐมิวสิคเฮ้าส์" อยู่ที่เชียงใหม่โน่น...



หนังสือสารคดีท่องเที่ยวต่างแดนหนา ๒๒๐ หน้า จำหน่ายเพียงเล่มละ ๑๕ บาท อืมมม..ยุคนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่หนอนหนังสืออิ่มหมีพลีมันกันถ้วนหน้าจริง ๆ  ผมหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งก็ยังคงได้อรรถรสอยู่เหมือนเดิม แม้ข้อมูลในหนังสือจะล้าสมัยไปแล้ว แต่ยังคงเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างในความคิดของผู้นำของเค้ากับของเราได้เป็นอย่างดี  คุณบุญสม รดาเจริญ ได้เขียนว่า...

คนที่ไปเที่ยวเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเยือนเมืองหลวงโซลเพียงเมืองเดียว หรือมีโอกาสเที่ยวเมืองอื่น ๆ มักอดนึกถึงรัฐบาลของเขาไม่ได้ ช่างเข้าใจสร้างสถานที่ให้ชาวบ้านพักผ่อนจิตใจเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ ดีแท้   ของเก่าก็บูรณะรักษาอย่างดี ของใหม่ที่คิดว่าควรจะมีเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทางการก็สร้างอยู ตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และนักท่องเที่ยวเกิดความสบายใจเมื่อไปเห็นไปชม

ในใจกลางกรุงโซล มีพระราชวังเก่าแก่อยู่ใกล้ ๆ กัน ๓ วังด้วยกันคือ ต๊อคซูม กยองบ๊อค และ ชางด็อค ปราสาทบางหลังก็สร้างขึ้นใหม่ให้เหมือนของเดิม บางอาคารสร้างใหม่เอี่ยมตามแบบสถาปัตยกรรมโบราณ วังของเขาที่คุยว่าสวยนักสวยหนา รวมความงามทั้งหมดยังไม่เท่าขี้เล็บของพระบรมมหาราชวังของเรา แต่เขาดูแลรักษาของเก่าอย่างดี สวนไม้ดอกโดยรอบก็ตกแต่งสวยงามเอาใจใส่ตลอดเวลา ใครเห็นใครก็ติดใจ เพราะสบายตาสบายใจนั่นเอง ถ้าของเราดูแลกันแข็งขันอย่างนั้นมั่ง คงดีกว่าปัจจุบันหลายเท่า และนักท่องเที่ยวจะตลึงลานกว่านี้....

หุหุ อ่านแล้วทำให้คิดถึงผู้นำบ้านเรา คิดสร้างแต่หลักกิโลยักษ์ กระจาดกระบุงยักษ์ อะไรที่มันยักษ์ ๆ ในขณะที่ของดี ๆ ที่มีอยู่ กลับไม่คิดรักษาไว้



รู้สึกว่าเวลามันเดินเร็วเหลือเกิน เผลอแป๊ปเดียว เดือนมกราคมกำลังจะผ่านไป  พี่ชายผมยังไม่ยอมฟื้นฟูสภาพร่างกาย คงเลือกที่จะนอนบนเตียงไปเรื่อย ๆ ไปจนตาย ผมก็เลยไปไหนไม่ได้อยู่เหมือนเดิม!

Sunday, January 22, 2012

เลือดอาก๋ง


คงจะดีไม่น้อย ถ้าคุณแม่สอนให้ผมพูดแต้จิ๋ว เพราะผมจะได้เป็น bilinqual เหมือนแม่ แล้วถ้ามีโอกาสไปเที่ยวเมืองจีนเหมือนกับคุณเมธี ผมก็จะได้ไม่มีปัญหาในการสื่อสาร แม่เขียนภาษาจีนสวยมากครับ เวลาแม่ร้องงิ๋วก็เพราะด้วย ท่านเคยบอกผมว่าเสียใจที่ไม่ได้สอนให้ผมพูดและเขียนภาษาจีน

ตั้งแต่ผมจำความได้ เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีน ที่บ้านไม่เคยไหว้เจ้า ไม่เคยมีเสียงประทัด ไม่มีขนมเข่ง หรืออั่งเปา เพราะคุณพ่อเป็นไทยแท้ ถึงกระนั้น…แม่ก็มักจะเล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนเป็นเด็กแม่ได้ทำอะไรบ้างในช่วงตรุษจีน

น่าเสียดายจริง ๆ ที่ผมสืบทอดสิ่งดี ๆ จากบรรพบุรุษชาวจีนไว้ได้น้อยเหลือเกิน แม้กระทั่งการใช้ตะเกียบผมก็ยังจับไม่ถูกวิธี! ถ้าจะมี…ก็น่าจะเป็นสายเลือดของการเป็นนักเดินทางมากกว่า แม่เล่าว่าอาก๋งนั่งเรือมาจากเมืองจีน ความอดทนและกล้าเผชิญกับภัยที่อยู่เบื้องหน้าถูกถ่ายทอดสู่แม่อย่างเห็นได้ชัด เพราะผมไม่เคยเห็นแม่แสดงออกถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย…แม่ก็ไม่เคยร้องโอดครวญให้ได้ยินแม้แต่คำเดียว

ผมบอกแม่ว่าจะขี่จักรยานไปออสเตรเลีย แม่ก็ไม่ห้าม ไม่เคยพูดสักคำเดียวให้ผมท้อแท้หรือหมดกำลังใจ พอผมบอกว่าจะไปเล่นซึงข้างถนน แม่ก็ไปบ้านบ่อสร้างกับผมเพื่อหาซื้อซึง…






และวันที่ผมจะไม่ลืมเลยตลอดชั่วชีวิต คือวันที่ผมจูงจักรยานออกจากบ้านที่ถนนทุ่งโฮเต็ล ซอย ๓ เพื่อปั่นไปยังสถานีรถไฟ วันนั้นฝนตกปรอย ๆ แม่ออกมายืนส่งผมที่ประตูรั้ว คงจะเป็นห่วงผมมาก ๆ แต่แม่ไม่เคยปริปาก ไม่เคยห้ามและพยายามหยุดยั้งการเดินทางของผม! คงเป็นเพราะเราได้รับสายเลือดของนักผจญภัยมาจากบรรพบุรุษ…

ประตูรั้วบ้านทุ่งโฮเต็ล…แต่ก่อนนี้สีส้ม (ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนที่แล้ว)

 
อ่านที่ผมเขียนถึงแม่สิครับ….


ก่อนจบก็อยากบอกดัง ๆ ว่า สุขสันต์วันตรุษจีน นะครับ

Saturday, January 21, 2012

ซื้อของทางเน็ต…

ถูกคุณบิมพาดพิงเรื่อง “ซื้อของทางเน็ต” ผมเกิดอาการหยุกหยิกในหัวใจ มันเป็นความรู้สึกของคนที่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของใหม่ แล้วต้องหาซื้อสินค้ามือสองไว้ใช้ จนมีประสบการณ์กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางครั้งถึงกับต้องลบ bookmark เว็บสินค้ามือสองทิ้งไปจนหมดก็มี แต่แล้วผมก็ต้องกลับเข้าไปหาซื้อของถูกในเว็บเหล่านั้นอีกจนได้!

ผมอยากบอกว่า “ถ้ามีกำลังพอที่จะซื้อของใหม่ ของมีประกัน กับร้านที่อยู่ใกล้บ้าน ก็ซื้อเหอะ อย่าเลียนแบบพฤติกรรมคนเป็นโรคทรัพย์จางเรื้อรังอย่างลุงน้ำชาเลย…” อิอิ

เมื่อวันก่อนพูดเรื่องเจ้ามิวซาว ซึ่งก่อนหน้านั้นแบตเตอรี่เกิดอาการเก็บไฟไม่อยู่ และเจ้า charger ที่มากับตัวกล้องก็พังไปตั้งนานแล้ว ผมลองสืบราคาในเว็บดูแล้ว พบว่าจะต้องมีงบประมาณ ๑ พันบาทสำหรับการซื้อแบตเตอรี่และที่ชาร์จ(เทียม)มาใช้  พอดีไปเจอในเว็บประมูล มีว่าดังนี้….



กล้อง Digital OLYMPUS Stylus 790SW อุปกรณ์ครบกล่องเลยค่ะ หมดประกันแล้วค่ะ กล้อง 7.1 Megapixel ค่ะ กล้องรุ่นนี้เป็นรุ่นกันน้ำนะค่ะ สินค้าใช้งานไม่ได้แล้วนะค่ะ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ เราดันแกะตรงที่ใส่แบ็ตมาล้างค่ะ ไม่รู้จะโกดใครดี ขายเป็นอะไหล่ไปละกันค่ะ รึใครลองเอาไปซ่อมดูก็ได้ แถมขาตั้งกล้องยังไม่เคยใช้เลยค่ะ อุปกรณ์ที่ได้จะได้รับประกอบด้วย ตัวกล้อง กล่อง ขาตั้งกล้อง แบตเตอรี่ แท่นชาร์ทแบต สาย datalink สาย AV กล่อง เมมโมรี่ 1 g cd คู่มือไทย อังกฤษ กระเป๋ากล้อง — ครบยกกล่อง **ขอค่าส่ง 50 บาทนะค่ะ
คิดดูแล้ว…ถ้าประมูลได้มา ผมอยากจะเอาที่ชาร์จมาแกะออก นำแผงวงจรไปดัดแปลงใส่ในที่ชาร์จของผมซึ่งเสียแล้ว (ช่างเหอะน่าจะพอทำได้) เจ้า memory card ขนาด 1 GB ก็อยากได้อยู่ เพราะของผมมีแค่ 512 MB เอง ตัวกล้องถึงแม้จะเสียแต่ก็ยังสามารถนำมาให้”ช่างเหอะ” ได้ลองซ้อมมือแก้กลุ้ม ส่วนขาตั้งกล้องผมก็ยังไม่มี เอาน่ะ…ลองประมูลมาใช้ดีกว่า

ปรากฏว่าประมูลไม่ได้ครับ ก็ได้แต่คิดว่า “ไม่เป็นไร” แล้วผมก็ลืมมันไป แต่แล้วอยู่ ๆ ผมก็ได้เมล์จากผู้ขายแจ้งว่า “ท่านที่บิดได้สูงสุดเงียบไปเลยอะค่ะ ถ้ายังต้องการสินค้ายินดีส่งต่อให้นะค่ะ” อืมม…ก็ดีเหมือนกัน จะได้ทำตามที่คิดไว้ ผมโอนเงิน ๗๐๐ บาทไปยังผู้ขายเพื่อเป็นค่าสินค้าและค่าส่ง พร้อมกับแจ้งที่อยู่ไปให้ ปรากฏว่าช่วงนั้นน้ำท่วมกรุงเทพฯ พอดี ผมรอรับสินค้าตั้งแต่น้ำเริ่มท่วมจนน้ำลดก็ยังไม่มีวี่แววของพัสดุที่จะมาถึง!! ในที่สุดก็ทราบว่าของทั้งหมด ผู้ขายได้ส่งให้แล้ว แต่เกิดสูญหาย ไปที่ไหนไม่รู้ ไปรษณีย์บอกว่ามีคนรับสินค้าไปแล้ว แต่ไม่ใช่ผม…

เงินที่โอนไปให้ผู้ขายแล้วก็เหมือนกับอ้อยที่เข้าปากช้าง น้อยรายนักที่มันจะถูกคายออกมา ก็มีครั้งนี้แหละที่ผมยังโชคดี ทำให้เจอคนดี มีความรับผิดชอบ หลังจากผ่านไป ๒ เดือนกว่า ผู้ขายก็ได้โอนเงินจำนวน ๗๐๐ บาทกลับคืนมาให้ผม…

ผมนำเรื่องนี้มาเล่าก็เพื่ออยากบอกว่า “ในตลาดค้าขายทางเน็ตยังมีผู้ขายที่ดี ๆ อีกเยอะ แต่ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าได้ประมูลซื้อสินค้า(มือสอง)เลยครับ…”



อ่อ…เมื่อวานนี้ไปธนาคาร เห็นเค้าจัดบูธขายอสังหาริมทรัพย์ ก็เลยแวะเข้าไปดูเสียหน่อย เห็นได้ว่ามีบ้านหรือที่ดินบางแปลงซึ่งมีราคา ๒-๔ ล้านบาทได้ถูกซื้อไปแล้ว ผมคิดว่าธนาคารเค้าเข้าใจจัดนะ ช่วงหลังน้ำท่วมมีคนกรุงขึ้นมาแสวงหาที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น ในขณะที่ลำปางก็กำลังเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง

ผมเองยังคงเฉื่อย ๆ เหมือนเรือเกลือ ไม่รีบร้อนขับเคลื่อนอะไรทั้งนั้น ผมยังเคยคิดเลยว่า…ถ้าสามารถประคับประคองอยู่ต่อไปได้ ไม่แน่นะว่าสักวันหนึ่งบ้านหลังที่ผมประกาศขายนี้ อาจได้ใช้เป็นที่พึ่งพิงของเพื่อน ๆ บางคนซึ่งประสบปัญหาจากภัยธรรมชาติจนถึงกับต้องย้ายที่อยู่


ถึงวันนั้น ผมอาจจะได้ยื่นมือออกไปหาครับ…   

Friday, January 20, 2012

กล้องพัง!


และแล้ว…ก็เป็นจริงดังคาด! เจ้ามิวซาว กล้องที่ผมใช้ถ่ายภาพลงเว็บมาได้หลายปีก็ถึงวาระที่ต้องพักผ่อนซะแล้ว! สวิชไม่ทำงานครับ! ปกติแล้ว ถ้าเลื่อนฝาปิด(ที่มีคำว่า OLYMPUS) ออกจากหน้าเลนส์ สวิชจะทำงาน เจ้าเลนส์ที่หลบอยู่ก็จะยื่นออกไปข้างหน้า เสียงดังแซดดด….. เข้าสู่โหมดที่พร้อมจะใช้งาน แต่อนิจจา…ตอนนี้มันเงียบสนิท!

 
ภาพตึกแถวที่กำลังจะลงประกาศขายทางเน็ตคือผลงานชิ้นสุดท้ายของเจ้ามิวซาว



กล้องที่ประมูลมาในราคาพันกว่าบาท สามารถใช้งานมาได้ขนาดนี้ ก็นับว่าคุ้มแล้ว แต่ผมยังรู้สึกเสียดาย…อยากจะใช้บันทึกภาพต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเจ้ามิวซาวใช้งานง่าย ถูกใจผมตรงที่มีช่อง view finder ซึ่งกล้อง compact ยุคใหม่ ๆ ไม่มี ผมอยากจะส่งไปให้ช่างดำซ่อมก็เกรงว่าจะไม่คุ้ม

แปลกจริง ๆ เวลาที่อะไรเสีย มันมักจะมีอย่างอื่นเข้าร่วมประท้วงกับเค้าด้วย เจ้ามิวซาวนี่ก็เป็นตัวอย่างที่ทำให้ผมต้องปวดหมอง งานนี้…แม้แต่”ช่างเหอะ” ก็ต้องส่ายหน้าครับผม! ไม่น่าเชื่อว่า…การจากไปของเจ้ามิวซาวจะทำให้ผมมีข้ออ้างที่จะไม่เขียนบล็อก ทั้ง ๆ ไม่เห็นจะต้องใช้ภาพประกอบจากเจ้ามิวซาวซักกะหน่อย!

อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้ตั้งคำถามไว้ในใจแล้วว่า “ถ้าไม่มีเจ้ามิวซาว…ผมจะใช้กล้องที่ไหน มาใช้ทำเว็บหรือเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก?” ก็ยังมีกล้องที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือซึ่งผมประมูลมาใช้ในราคาพันกว่าบาท (อีกแย้ว..ประมูลหาของถูกที่เสียง่าย) ซึ่งพอจะใช้เก็บภาพได้ แต่มันไม่ค่อยชัด ผมลองถ่ายภาพ “Paisitt Violin” มาให้ดูดังนี้…


บ่ายวันนี้ ผมขี่แมงกะไซค์ไปรับเบี้ยยังชีพที่กองสวัสดิการสังคม เทศบาลเมืองเขลางค์นคร ระหว่างทางผมเห็นสภาพท้องทุ่งและต้นข้าวเขียวขจี ยังมีบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติให้ได้สัมผัส ในขณะที่สองข้างทางหลวงสายเลี่ยงเมืองกำลังมีการก่อสร้างอาคารร้านค้ามากมายหลายแห่ง เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องจอดรถ…เก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ


ลำปางยังหาภาพเช่นนี้ดูได้ไม่ยากครับ…


ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่าไกลออกไปกำลังมีการถมที่เพื่อก่อสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง พื้นที่ท้องนา(ก๋างโต้ง)กำลังถูกรุกราน ทำให้เหลือน้อยลงทุกที ๆ ทีแรกผมก็ไม่ค่อยได้สังเกตอะไรเท่าไหร่ จนมีชายคนหนึ่งส่งเสียงถามผมว่า “ที่นั่นกำลังจะสร้างอะไร?” (แปลจากกำเมืองแล้วเน้อ) ผมบอกว่าไม่รู้ เค้าโต้ตอบ “อ้าว…เห็นถ่ายรูป นึกว่ารู้!!” ผมหัวเราะในใจ…แล้วบอกไปว่า “ผมถ่ายรูปม้าต่างหาก”

ก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าเค้ากำลังจะไปสร้างอะไรไว้ตรงนั้น!

อ่อ…บนถนนสายเลี่ยงเมือง ผมเห็นอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันด้วย ระยะนี้ผมได้ข่าวที่ฟังแล้วหดหู่อยู่บ่อยครั้ง มันเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยพบเห็นก็มี ที่ไม่รู้จักก็มี ผมเพียงแค่อยากยกมาเป็นอุทาหรณ์ เพื่อเตือนใจไม่ให้ประมาทกันเท่านั้นครับ

ที่แผนกจิตเวช โรงพยาบาลศูนย์ จะมีผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งซึ่งคอยให้บริการคนไข้เป็นอย่างดี เธอเป็นคนมีน้ำใจและทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ตอนเช้าต้องรีบส่งลูกไปโรงเรียนก่อนที่จะไปทำงาน วันนั้นมีเพื่อนซ้อนไปด้วยอีกหนึ่งคน เผอิญไปเกี่ยวกับรถอีกคันหนึ่งจนล้มลง ในขณะที่ทั้งสองกำลังพยุงตัวลุกขึ้น ก็มีรถยนต์คันหนึ่งมีเข้าชนอย่างเต็มแรงจนเสียชีวิตทั้งคู่ เป็นที่โศกเศร้ากันทั้งผู้คนในแผนกจิตเวชและคนที่เคยได้เห็นได้รู้จัก ผมก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เคยไปรับยาให้พี่ชายนานเป็นปี ๆ ได้รับการบริการที่ประทับใจมาโดยตลอด พอได้ทราบข่าวก็รู้สึกสลดใจและเสียใจด้วยเป็นอย่างยิ่ง…

อ่อ…ก่อนจะไปที่เทศบาลเมืองเขลางค์นคร ผมต้องไปธนาคาร ระหว่างรอคิว ผมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน… พาดหัวมีว่า


มีภาพประกอบด้วยครับ…



ด้วยความเคารพต่อผู้เสียชีวิต ผมขออนุญาตนำมาลงไว้เพื่อเตือนใจทุก ๆ คน ขออย่าได้ประมาท อย่าลืมว่าทุกครั้งที่ท่านต้องขับรถพาผู้อื่นนั่งไปด้วย ให้ระลึกอยู่เสมอว่าท่านกำลังรับผิดชอบในชีวิตซึ่งมอบหมายไว้ให้ท่าน ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ไม่ใช่เพียงแต่ท่านเท่านั้นที่จะต้องสูญเสีย แต่ยังมีอีกหลายชีวิตซึ่งผูกพันที่จะต้องพลอยสูญเสียไปกับท่านด้วย…

๔ พี่น้องเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อท่องเที่ยวภาคเหนือ แล้วต้องมาพบจุดจบเช่นนั้น นับเป็นเรื่องที่น่าเวทนาและเป็นการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้จริง ๆ ครับ…

กล้องพังยังซื้อใหม่ได้ แต่ชีวิตของทุก ๆ คนไม่มีอะไรทดแทนได้!

จงอยู่ในความไม่ประมาทนะครับ….

Thursday, January 19, 2012

กลับมาเขียนต่อ...

ช่วงปิดเทอมของผมก็ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ เก็บตัวอยู่กับบ้าน ซ่อมเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่พร้อมใจกันชำรุด เหมือนจะแกล้งทดสอบความอดทนของผม ขนาดเจ้าเปลวสุริยะ (solar flare) ยังไม่รุนแรงจนถึงขั้นที่จะเกิดพายุสุริยะเข้าเล่นงานโลกนะเนี่ย ถ้าถึงวันที่มันมาจริง ๆ จะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้?


เครื่องสูบน้ำซึ่งทำหน้าที่ดูดน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ได้รวนมานานแล้วล่ะ ๓ วันดี ๔ วันไข้! ทำให้ผมต้องลงบ่อเพื่อซ่อมอยู่ร่ำไป จริง ๆ แล้วมันก็รับใช้ผมมานานนับสิบปี…คือตั้งแต่ย้ายมาอยู่ครั้งแรก ตอนนั้นต้องติดตั้งระบบน้ำก่อนเพื่อน…ลุงเล็ก ช่างบาดาล บอกให้ผมไปซื้อเครื่องสูบน้ำแบบชักมาติดตั้ง (รู้สึกว่าตอนนั้นจะราคาพันเจ็ดหรือพันแปดนี่แหละ) ก็ได้ใช้เจ้าสูบตัวนั้นมาโดยตลอด จนเมื่อต้นปีที่แล้วมอเตอร์เกิดไม่ทำงาน ลุงเล็กต้องมาเปลี่ยนตัวใหม่ให้ ซึ่งตอนนั้นถ้าจะให้ดี…ก็น่าจะเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด เพราะอายุการใช้งานของมอเตอร์และตัวสูบก็พอกัน เมื่อไม่เปลี่ยนตัวสูบ…ปัญหาก็เกิดตามมาเรื่อย ๆ ทำให้ผมต้องเหนื่อยกับการซ่อม มันหนักข้อเข้าทุกที ๆ จนผมต้องตัดสินใจเปลี่ยนเจ้าตัวสูบเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง…

ผมไปที่ร้านเต็กหมงก่อนเพื่อน พนักงานขายคนสวยพาผมไปดูเครื่องสูบ บอกราคา ๒,๖๕๐ บาท แล้วตามต่อว่า “ถ้าเอาจริง น้องคิดให้ ๒ พันถ้วน” ผมไม่ชอบวิธีการค้าขายแบบนั้นเลยจริง ๆ ราคาไม่แน่นอนเอาเสียเลย!! จากนั้นผมก็ไปที่ร้าน “เล่าจิ้นกวง” ที่เคยไปซื้อเครื่องสูบน้ำอัตโนมัติ ปรากฏว่าไม่มีตัวสูบที่ต้องการ มองไปที่ฝั่งตรงกันข้ามเห็นมีร้านจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องสูบ เครื่องตัดหญ้า ฯลฯ พร้อมป้ายโฆษณาลดราคาครั้งใหญ่…ผมเดินข้ามถนนไปถามพนักงานขายสาวสวย(อีกแล้ว) เครื่องสูบชักยี่ห้อ Uma แบบที่ผมใช้ราคา ๒ พันบาท ถ้าเอาจริงลดให้เหลือ ๑,๘๐๐ (อีกแล้ว…ถ้าเอาจริง!) เธอเห็นผมลังเลอยู่ จึงบอกว่า “เอ้า…น้องลดให้ ถ้าซื้อภายในวันนี้เหลือ ๑,๖๐๐ บาท” อืมมม…ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าซื้อตัวนี้ก็ประหยัดได้ ๔๐๐ บาท แต่ผมยังไม่มีเงินน่ะ อ้อมแอ้ม ๆ ตอบไปว่า “ขอกลับไปเอาตังค์ก่อน” คนขายบอกว่าให้ผมวางมัดจำไว้ก่อน ผมได้แต่ยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ต้องหรอก” คิดในใจว่าเรื่องอะไรจะต้องมัดจำด้วย!

ออกจากร้านนั่น…กลับไปที่มอเตอร์ไซค์แล้วขี่ออกจากเล่าจิ้นกวงผ่านไปทางสี่แยกดอนปาน ทางด้านซ้ายมือมีร้านเปิดใหม่ขายเครื่องมือและอุปกรณ์แบบเดียวกัน ผมจอดรถแวะเข้าไปดูทันที ที่นั่นไม่มีของตั้งโชว์ แต่มีจำหน่าย สูบขนาดที่ผมต้องการราคา ๑,๖๕๐ บาท เจ้าของร้านคนสวย(อีกแย้ว…คนสวยเยอะจัง!) บอกผม…

ผมปรารภว่าไปดูร้านอื่นมาแล้ว เค้าขายถูกกว่า คนขายถามว่าเค้าให้เท่าไหร่ล่ะ? ผมบอกว่า “ไม่บอกดีกว่า ถูกกว่าก็แล้วกัน” ขณะที่ผมเดินไปที่รถ คนขายตามมาพูดว่า “๑,๔๐๐ ล่ะกัน เอาไปเลยมั้ย?” ผมบอกว่า “ขอไปเอาตังค์ก่อน”

ก่อนเข้าบ้านจะต้องผ่านร้านขายอุปกรณ์เครื่องสูบอีกร้านนึง ผมแวะเข้าไปถาม เค้าบอกว่าราคาลดได้ต่ำสุดแค่ ๑,๖๕๐ บาท…

ในที่สุด…ผมก็ต้องกลับไปซื้อที่ร้านเปิดใหม่สี่แยกดอนปาน เค้าให้พนักงานไปเอาเครื่องที่โกดังมาให้ ปรากฏว่ามันไม่ใช่ยี่ห้อ Uma (ตราปลา) โห…อย่างนั้นไม่เอาหรอก เจ้าของร้านต้องสั่งให้ไปนำเครื่องยี่ห้อ Uma มาให้ ถ้าอย่างนั้นก็โอเค…

จ่ายไป ๑,๔๐๐ บาท ได้เครื่องสูบน้ำ(ไม่รวมมอเตอร์) วางใส่ไว้ข้างหน้า…ผมขี่จักรยานยนต์กลับบ้าน

ผมต้องใช้เวลา ๑ วันเต็ม ในการเปลี่ยนตัวสูบให้สามารถดูดน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ได้ตามปกติ งานนี้ทำให้ปวดเมื่อยไปทั้งตัว!

Sunday, January 15, 2012

3 idoits

เมื่อวานนี้เป็นวันเด็ก มีฝนตก…ความชื้นในอากาศสูงมาก เช้าวันนี้ผมจึงได้พบกับบรรยากาศในม่านหมอกอีกครั้ง

 
ภาพที่นำมาให้เพื่อน ๆ ดูนี้ ถูกบันทึกเมื่อเวลาประมาณ ๗.๓๐ น. หลังจากปั่นจักรยานไปตลาด ประจวบกับวันนี้เป็นวันอาทิตย์…ผู้คนจึงบางตา ไม่ว่าจะเป็นตามถนนหนทาง หรือที่ตลาดเก๊าจาว ผมพกเงินติดตัวไป ๑๐๐ บาท ซื้อของเพลินจนเหลือเงินไม่พอจ่ายค่าไข่ต้ม ๒ ฟอง แม่ค้าบอกว่าเอาไปก่อนก็ได้! อืมมมม…คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่ผมจะแปะของในตลาดมากินก่อนได้เหมือนที่ลำปาง!!


อยากทักทายกับความหนาว…ผมปล่อยให้ลมเย็นพัดผ่านประตูเข้ามากอด จากเก้าอี้ที่นั่งทำงานหน้าคอมพ์ฯ ยกกล้องขึ้นเก็บภาพที่เห็นเบื้องหน้าไว้อีก ๑ บาน เจ้า”มิวซาว”เริ่มออกอาการว่าอยากจะกลับบ้านเก่าเต็มที (นอกจากแบตเตอรี่ซึ่งเก็บไฟไม่อยู่…ตัวกล้องก็เริ่มรวนเป็นพัก ๆ) คงจะเหมือนกับชีวิตของผมซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ได้อีกนานแค่ไหน

ไม่รู้จะเขียนอะไรทั้ง ๆ ที่เรื่องอยากคุยก็มีเยอะ ไม่รู้จะทำอะไรทั้ง ๆ ที่มีเรื่องให้ทำมากมาย หนักเข้าผมก็เลยปล่อยเฉย หันไปหยิบหนังที่ดาวน์โหลดไว้ออกมาดู มีเรื่องหนึ่งซึ่งเพิ่งผ่านสายตาผมไปก็คือ 3 Idiots เป็นหนังอินเดียที่เข้าขั้น ใน Yahoo Movies ให้เกรด A และใน IMDb ได้คะแนน 8.3/10


หนังยาวตั้ง ๒ ชั่วโมง ๔๔ นาที ดูกันจุใจ…มีทั้งบทฮาและเรื่องกินใจ ผมคงไม่ต้องนำเรื่องย่อมาเล่า เพราะสามารถหาอ่านได้ทั่วไปในเว็บอื่น แต่อยากจะแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ดูกัน…

พูดถึงเรื่องภาพยนต์…ก็ต้องขอขอบคุณคุณเดชา (เจ้าเก่า) ที่ได้ส่งดีวีดีหน้งหลายแผ่นพร้อมทั้งจดหมายและข้อเขียน(เยี่ยมมาก) มาให้เป็น ส.ค.ส. ปีใหม่ พอดีผมเป็นเสือปืนฝืด จึงได้ล่าช้าในการตอบ แต่ก็ตั้งใจว่าจะนำสิ่งดี ๆ ที่ได้รับจากคุณเดชามาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ โดยเร็ว


การได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนต์ดี ๆ จากคุณเมธี คุณเดชา คุณบิม และเพื่อน ๆ อีกหลายคน ทำให้โลกทัศน์ผมกว้างขึ้น ลำพังคนเก็บตัวเงียบ ๆ เป็นกบจำศึลอย่างผม หากไม่มีเพื่อน ๆ ผมคงไม่รู้อะไรเลย ต้องขอขอบคุณจากใจจริง



อ่อ….คุณบิมซึ่งเป็นผู้ที่แนะนำหนังสือและภาพยนต์ดี ๆ หลายเรื่องไว้ในบล็อก bimbalo ก็ยังได้ส่ง ส.ค.ส. ภาพโปสการ์ดงานกลุ่มของลูกชาย(ด.ช. นวพรรษ นิมมานวัฒนา)มาอวยพรลุงน้ำชา ขอบคุณกั๊บ!

ผมสัญญาว่าจะเขียนให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ขอตั้งสติก่อนน้า….

Wednesday, January 11, 2012

รำพึงรำพัน…

เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ผมเอาป้ายประกาศขายตึกและป้ายรับสอนดนตรีออก ร้านข้าวสารข้างบ้านมาถามว่าขายบ้านได้แล้วหรือ ผมบอกว่ายัง แต่จะประกาศขายทางเน็ตแทน ไม่รีบร้อน ไม่เร่งรัด คิดว่าขายได้ก็จะขาย ขายไม่ได้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยมามากแล้วครับ ไม่อยากจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนอีก ชีวิตต่อจากนี้ไปคงจะเป็นฉากสุดท้ายของละครชีวิตของผม…

ต้อมและซาบอกว่าตกลงใจจะซื้อบ้านที่แม่ริม จ่ายเงินมัดจำไปแล้วด้วย ผมก็ชื่นชมในความมานะ กล้าสู้ กล้าก้าวเดินของทั้งสองคน แต่ในใจลึก ๆ ผมก็อดห่วงไม่ได้ สำหรับผม…การที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนสักแห่งด้วยการลงทุนลงแรงมาก ๆ เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคิด เพราะผมเชื่อว่าชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง และเตรียมตัวเตรียมใจ เป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดในภาวะการณ์เช่นนี้

ผมต้องพาแม่ย้ายจากบ้านทุ่งโฮเต็ลมาเผชิญชีวิตอยู่ในลำปางก็เพราะอยากจะเป็นชาวสวน อยากจะอยู่กับธรรมชาติ แล้วผมก็ได้รับบทเรียนที่ทำให้รู้ตัวเองคิดผิด โชคดีที่ผมขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ไปได้หมด เหลืออยู่เพียงชิ้นสุดท้าย คือตึกที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้…

ยิ่งแบกยิ่งหนัก ยิ่งรักยิ่งห่วง ยิ่งหวงยิ่งอาลัย สัจจธรรมแห่งชีวิตที่ผมปฏิเสธไม่ได้!!

เมื่อวานนี้ไปพบจักษุแพทย์ตามนัด คุณหมอพงษ์ศักดิ์ให้ผมนอนบนเตียงแล้วส่องเข้าไปดูในลูกตาของผม สั่งให้มองขึ้นบนลงล่าง ซ้ายขวา มองตรง แล้วบอกกับผมว่า “ยังใช้ได้อยู่” ผมอยากได้ยินเช่นนั้นเวลาไปตรวจทุก ๆ ๖ เดือน เดือนกรกฤาคมหน้า..ผมก็อยากจะได้ยินประโยคเดียวกันนี้อีก! คุณหมอได้ให้ยาบำรุงสายตามากินด้วย (รวมแล้วเป็นเงิน ๖๕๐ บาท) อยู่ต่อได้อีก ๖ เดือน!

คิด ๆ ดูแล้ว ชีวิตผมจะไปที่ไหนได้ ในเมื่อร่างกายยังต้องฝากไว้กับสถานีอนามัยบ้านแม่กืย สายตายังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอพงษ์ศักดิ์ และถ้าอีกหน่อยหัวใจกำเริบ ก็คงต้องฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาลศูนย์ ผมจะย้ายไปไกล ๆ ได้อีกครั้ง ก็คงเป็นตอนที่ถูกส่งไปนอนแช่น้ำยาที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นั่นแหละ…

ผมเคยมีสวน ไม่ว่าจะเป็นที่ลำปางหรือลำพูน เวลาที่เราไม่อยู่ เพื่อนบ้านก็ถือสิทธิเข้าไปเป็นเจ้าของแทน อยากทำอะไรก็ทำ อยากเก็บอะไรก็เก็บ บางครั้งผมแอบแว๊บไปดู…เห็นผู้บุกรุกกระโดดรั้วหนีแทบไม่ทัน ถ้าย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เจอเพื่อนบ้านใหม่ ผมกลัวเหลือเกินว่าจะพบกับสภาพเดิม ๆ เจอกับคำถามที่ว่า “มีอะไรให้ผมบ้าง?” แทนที่จะเป็น “มีอะไรจะให้ผมช่วยบ้าง?”

ชีวิตผ่านมาถึงขนาดนี้ ผมคงไปลงทุนลงแรงที่ไหน แบบเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ ไม่ได้อีกแล้ว…

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคารพกฏหมาย ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น อย่างทุกวันนี้…ดูเหมือนทางม้าลายแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย การจอดรถตรงทางม้าลายให้คนข้ามไปก่อน ดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปซะแล้ว ผมยังสงสัยอยู่ว่ารัฐจะต้องเสียงบประมาณจ้างคนทาสีม้าลายบนถนนไปทำไม…ในเมื่อไม่มีความหมาย ตรงกันข้ามกับในสิงคโปร์ แค่ผมย่างเท้าลงบนทางม้าลายเท่านั้น ความอัศจรรย์ก็บังเกิด รถวิ่งมาต่างหยุดรอ ต่อกันเป็นแถว เพื่อให้คน ๆ เดียวเดินข้ามถนน!!! เท้าที่เหยียบลงบนม้าลายสามารถสั่งได้ขนาดนั้นเชียวหรือนี่!!! ผมอยากให้ที่เมืองไทยเป็นเช่นนั้นบ้าง…

บางครั้งอยากคิดหนีไปอยู่ที่อื่น ไปตายที่อื่น….

เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าไปอยู่ไหนก็น่าจะไม่มีคนรังเกียจ (ไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่า) แต่เท่าที่เคยเดินทางไปต่างแดน ก็มีหลายครั้งที่เจ้าบ้านชวนให้อยู่ด้วย…

อยู่กับ jean และ Jan ที่ Adelaide


อยู่กับ Ali ใน Bangladesh

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? คำตอบน่าจะเป็นเพราะ…ผมอยู่ง่ายกินง่าย (สำคัญ) เล่นดนตรีได้ งานช่างได้ งานครัวได้ ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ และอีกอย่างหนึ่งคือผมเป็นคนใฝ่รู้ สามารถปรับตัวเข้ากับที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าฝรั่ง แขก จีน หรือญี่ปุ่น

อยากฝึกเล่น accordion ให้เก่ง ๆ แล้วเข้าคู่กับมือกีต้าร์สักคนนึง หางานทำอย่างที่เห็นในภาพ…


ต่อเพลงไทยไว้หน่อย เพราะถ้าเจอร้านอาหารไทยที่ไหน ก็ขอไปบรรเลงเพลงไทยกล่อมแขก แลกกับอาหารและที่ซุกหัวนอน ก่อนที่จะเดินทางต่อไป งั่ม ๆ กลัวอย่างเดียวว่าจะไปติดหนึบอยู่ที่ไหน แล้วขยับตัวไปต่อไม่ได้… ถ้ายังงั้นละ แย่เลย!

วันนี้รำพึงรำพันจริง ๆ เขียนไปเรื่อย…

Sunday, January 08, 2012

ยืนเรียน…

บ่ายโมง… ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณพ่อของน้องเมเปิลซึ่งพาลูกสาวมาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว รู้สึกเสียใจที่ทำให้นักเรียนต้องมาเก้อ เป็นความผิดของผมที่ไม่ได้ส่งข้อความแจ้งให้ทราบเรื่องการหยุดสอนในช่วงเดือนมกราคม ขออภัยด้วยครับ…

เมื่อมาหาลุงน้ำชาแล้วก็อย่าให้เสียเที่ยว ผมบอกให้เมเปิลนำไวโอลินมาตรวจสอบและตั้งสาย พอเห็นไวโอลิน…ผมก็บอกได้ว่าเมเปิลไม่ค่อยได้ซ้อม ซึ่งก็เป็นความจริง พอขอให้นักเรียนบรรเลง…ปรากฏว่าเมเปิลลืมเพลงที่เคยเล่นได้ไปเกือบหมด  ตำแหน่งของนิ้วก็ไม่ตรงเหมือนเดิม การใช้คันชักก็แย่ลง


อย่างไรก็ตาม…ผมก็มิได้ท้อแท้ ได้ทบทวนเสกลและเพลงในตำราซูซูกิให้ แล้วขอให้เมเปิลรับปากว่าจะซ้อมไวโอลินอย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อยวันละ ๑๐-๑๕ นาทีก็ยังดี) เมเปิลเป็นหนึ่งในนักเรียนที่ผมเคยชื่นชมในความอดทน เด็กตัวน้อยอยู่ชั้นอนุบาล ๓ สามารถยืนเล่นไวโอลินได้เกือบ ๒ ชั่วโมง ในช่วง ๖-๗ เดือนแรก

การยืนเรียนและเล่นไวโอลินนั้นดีกว่าการนั่งอย่างแน่นอน ผมเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ดูใน Suzuki Class ก็เห็นนักเรียนยืน ในภาพยนต์การสอนของ Menuhin ก็ไม่เห็นมีใครนั่งเรียน…

String class ที่บ้านลุงน้ำชา แรก ๆ เด็กก็ยืนเรียน (มีมะเหมี่ยวเพียงคนเดียวที่ได้นั่ง เพราะเป็นรุ่นพี่ซึ่งเล่นเพลงไปไกลแล้ว) ต่อมาผู้ปกครองก็เริ่มซื้อเก้าอี้นำติดตัวมาให้ลูกได้นั่งเล่น เริ่มจากน้องเบลล์ ตามกันไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ไม่มีใครยืนเรียนอีกต่อไป…

วันนี้ผมเห็นเมเปิลยืนเล่นไวโอลินก็บอกได้เลยว่า นักเรียนไม่ได้ยืนเล่นมานาน ท่าทางซึ่งดูดีตอนเริ่มยืนเรียนใหม่ ๆ หายไปหมด ถ้าจะกลับมาเรียนกันใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ คงจะต้องถอยหลังกลับไปเริ่มต้นกันใหม่!

พอนักเรียนจากไป ผมก็กลับขึ้นบ้าน คลิกเปิดดูภาพยนต์เรื่อง Music of the Heart อีกครั้ง



อยากเห็นเด็ก ๆ ยืนเรียนมากกว่านั่งเรียนครับ…

Saturday, January 07, 2012

มีเรื่องให้ทำไม่เว้นวัน…

อากาศเริ่มร้อนแล้วครับ! ที่บ้านผมไม่มีน้ำประปาใช้ แล้วก็ไม่มีที่อาบน้ำแบบโรงแรมชั้นหนึ่งเหมือนที่บ้านอาจารย์ติ๊ก (ขอแซวหน่อย…อิอิ) เมื่อคืนที่ผ่านมา…ระหว่างที่เปิดน้ำลงถังเสียงดังซู่ ๆ ผมกำลังเพลินอยู่กับการอาบน้ำแบบใช้ขันตักราดตัวโครม ๆ แต่แล้วอยู่ ๆ เสียงซู่ ๆ ก็เงียบลง น้ำหยุดไหล! ว้า…มีเรื่องให้ผมต้องเหนื่อยอีกแล้ว!!

เช้าวันนี้ ผมรีบไต่หลังคาห้องน้ำขึ้นไปดูปั้มน้ำซึ่งทำหน้าที่สูบน้ำจากถังเก็บขึ้นไปยังชั้น ๒ และชั้น ๓ รู้สึกโล่งอกที่ไม่มีร่องรอยเสียหายที่ตัวมอเตอร์ น้ำในถังเก็บก็ไม่แห้ง ระบบไฟฟ้าก็ปกติ เหลืออยู่เพียงจุดเดียวก็คือ “สวิชแรงดัน (pressure switch)” ซึ่งจะเป็นตัวควบคุมการทำงานของมอเตอร์เครื่องสูบน้ำ ผมแกะออกดูก็พบว่าเจ้าสวิชดังกล่าวหมดสภาพแล้วจริง ๆ ต้องเปลี่ยนใหม่


ช่วงบ่าย…ผมขี่จักรยานยนต์เข้าเมืองเพื่อหาซื้ออะไหล่ ผมมุ่งหน้าไปร้าน “เต็กหมง” ตรงถนนพหลโยธินก่อน เพราะเร็ว ๆ นี้เคยไปซื้อ ball valve แบบ PVC ขนาด 1″ ราคาแค่ตัวละ ๔๐ บาท ในขณะที่ร้านเล่าจิ้นกวงขายตัวละ ๕๘ บาท ร้านขายเครื่องประปาใกล้ ๆ บ้านขาย ๖๕ บาท นอกจากนั้นเหล็กฉากเท้าแขนขนาด 6″x8″ เค้าก็ขายตัวละ ๑๓ บาทในขณะที่ห้างไทวัสดุขายตัวละ ๒๐ กว่าบาท ผมคิดว่าที่ร้านเต็กหมงผมจะซื้อ pressure switch ได้ในราคาถูกกว่าที่อื่น่…

เมื่อเห็นตัวอย่างที่ผมนำไปด้วย…คนขายสุภาพสตรีพาผมเดินไปที่ตู้ แล้วหยิบสวิชแรงดันออกมาให้ผมดู มีอยู่รุ่นเดียวซึ่งตัวใหญ่กว่า และป้ายบอกราคา 600 บาททำให้ผมต้องรีบส่งคืน แล้วถามว่า “ราคาถูกกว่านี้ไม่มีเหรอ?”

ไม่มีครับ! โห…ผมเพิ่งซื้อปั้มน้ำพร้อมสวิชแรงดันอัตโนมัตใหม่เอี่ยมแค่ตัวละ ๑,๔๐๐ บาทเอง ถ้าผมจะต้องซื้อสวิชตัวละ ๖๐๐ บาท ผมซื้อปั้มน้ำตัวใหม่เลยไม่ดีกว่าหรือ!

ทำยังไงดี! ผมจะไปหาซื้ออะไหล่ที่ต้องการได้จากร้านไหน? ระหว่างเดินออกจากร้านเต็กหมง สมองผมเรียกข้อมูลซึ่งสะสมไว้แล้วค้นหาชื่อร้านที่ควรไป ร้านใหญ่ ๆ ห้างใหญ่ ๆ ผ่านไปหมด เจ้า cursor สมองไปหยุดอยู่ตรงร้านขายเครื่องประปาซึ่งอยู่ตรงถนนรอบเวียง อืมม์…ผมจำชื่อร้านไม่ได้ แต่รู้ว่าที่นั่นมีวัสดุอุปกรณ์พร้อม ผมเคยไปซื้อท่อน้ำ เช็ควาล์ว และอุปกรณ์บางอย่างก็ไม่เคยผิดหวัง เป็นร้านที่ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ต้องมีพนักงานขาย เหมือนกับร้านโซห่วยท้องถิ่นซึ่งยืนหยัดสู้อยู่กับห้างและบริษัทต่างชาติใหญ่ ๆ ที่เปิดตามกันมาติด ๆ

ผมไปที่ร้านนั้นทันที ยื่นตัวอย่าง pressure switch ให้เจ้าของร้านซึ่งคงเพื่อนของอาจารย์ติ๊ก (ถ้าจำไม่ผิด) ดู เถ้าแก่ซึ่งทำหน้าที่ทั้งพนักงานขายและพนักงานเก็บเงินหันไปเปิดตู้ซึ่งอยู่ด้านหลัง แล้วหยิบกล่องสวิชแรงดัน ๒ กล่องออกมาให้ผมดู ตัวหนึ่งราคา ๑๘๐ บาท อีกตัวนึงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยราคา ๒๕๐ บาท สมองผมต้องทำงานอีกแล้ว…เลือกว่าจะซื้อตัวไหน? ถ้าซื้อตัวใหญ่ก็จะแพงกว่า ๗๐ บาท ชายผมขาว
(เจ้าของร้าน)บอกผมว่า “ถ้าเป็นช่างมาซื้อก็จะเลือกตัวเล็ก เพราะเสียบ่อยก็จะได้ซ่อมบ่อย แต่ถ้าเป็นเจ้าของบ้านที่ซื้อไปซ่อมเองก็จะเลือกตัวใหญ่เพราะทนกว่า…”

ผมตัดสินใจซื้อตัวใหญ่ราคา ๒๕๐ บาท…


ก่อนกลับบ้าน…ผมแวะไปร้านขายอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เคยไปซื้อ printer แล้วซื้อแผ่นเปล่าดีวีดีแบบ printable ๑ หลอด (๕๐ แผ่น) ราคา ๒๙๐ บาทติดมือมาด้วย…


กลับถึงบ้านก็ต้องรีบลงมือซ่อมระบบน้ำ เจ้าเครื่องสูบน้ำเมื่อได้สวิชตัวใหม่มาติดตั้งแทนตัวเก่าที่ชำรุดไป มันทำงานทันทีที่เปิดใช้งาน หุหุ มีตังค์ซื้อของใหม่มาเปลี่ยนมันก็ดีอย่างนี้แหละ!!

ช่วงค่ำ…ผมบันทึกไฟล์ภาพยนต์ ๓ เรื่องลงแผ่นดีวีดี ตั้งใจว่าจะส่งไปให้คุณสาธิตที่พิษณุโลก และมอบให้ครูหนิงกับอาจารย์ต้อม


ประกอบด้วยภาพยนต์เรื่อง Le Concert, Music of The Heart และ Pianist (หนังเกาหลี)


อ่อ…ลืมบอกไปว่าวันนี้ผมได้เปิดดูภาพยนต์ฝรั่งเศสเรื่อง La Tourneuse de pages หรือ The Page Tuner ซึ่งกำกับโดย Denis Dercourt ด้วยล่ะ

เป็นการให้รางวัลตัวเอง สำหรับงานซ่อมเครื่องสูบน้ำในวันนี้ครับผม