Wednesday, January 11, 2012

รำพึงรำพัน…

เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ผมเอาป้ายประกาศขายตึกและป้ายรับสอนดนตรีออก ร้านข้าวสารข้างบ้านมาถามว่าขายบ้านได้แล้วหรือ ผมบอกว่ายัง แต่จะประกาศขายทางเน็ตแทน ไม่รีบร้อน ไม่เร่งรัด คิดว่าขายได้ก็จะขาย ขายไม่ได้ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยมามากแล้วครับ ไม่อยากจะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนอีก ชีวิตต่อจากนี้ไปคงจะเป็นฉากสุดท้ายของละครชีวิตของผม…

ต้อมและซาบอกว่าตกลงใจจะซื้อบ้านที่แม่ริม จ่ายเงินมัดจำไปแล้วด้วย ผมก็ชื่นชมในความมานะ กล้าสู้ กล้าก้าวเดินของทั้งสองคน แต่ในใจลึก ๆ ผมก็อดห่วงไม่ได้ สำหรับผม…การที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหนสักแห่งด้วยการลงทุนลงแรงมาก ๆ เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในความคิด เพราะผมเชื่อว่าชีวิตที่เรียบง่าย พอเพียง และเตรียมตัวเตรียมใจ เป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุดในภาวะการณ์เช่นนี้

ผมต้องพาแม่ย้ายจากบ้านทุ่งโฮเต็ลมาเผชิญชีวิตอยู่ในลำปางก็เพราะอยากจะเป็นชาวสวน อยากจะอยู่กับธรรมชาติ แล้วผมก็ได้รับบทเรียนที่ทำให้รู้ตัวเองคิดผิด โชคดีที่ผมขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่ไปได้หมด เหลืออยู่เพียงชิ้นสุดท้าย คือตึกที่อาศัยอยู่ทุกวันนี้…

ยิ่งแบกยิ่งหนัก ยิ่งรักยิ่งห่วง ยิ่งหวงยิ่งอาลัย สัจจธรรมแห่งชีวิตที่ผมปฏิเสธไม่ได้!!

เมื่อวานนี้ไปพบจักษุแพทย์ตามนัด คุณหมอพงษ์ศักดิ์ให้ผมนอนบนเตียงแล้วส่องเข้าไปดูในลูกตาของผม สั่งให้มองขึ้นบนลงล่าง ซ้ายขวา มองตรง แล้วบอกกับผมว่า “ยังใช้ได้อยู่” ผมอยากได้ยินเช่นนั้นเวลาไปตรวจทุก ๆ ๖ เดือน เดือนกรกฤาคมหน้า..ผมก็อยากจะได้ยินประโยคเดียวกันนี้อีก! คุณหมอได้ให้ยาบำรุงสายตามากินด้วย (รวมแล้วเป็นเงิน ๖๕๐ บาท) อยู่ต่อได้อีก ๖ เดือน!

คิด ๆ ดูแล้ว ชีวิตผมจะไปที่ไหนได้ ในเมื่อร่างกายยังต้องฝากไว้กับสถานีอนามัยบ้านแม่กืย สายตายังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอพงษ์ศักดิ์ และถ้าอีกหน่อยหัวใจกำเริบ ก็คงต้องฝากชีวิตไว้กับโรงพยาบาลศูนย์ ผมจะย้ายไปไกล ๆ ได้อีกครั้ง ก็คงเป็นตอนที่ถูกส่งไปนอนแช่น้ำยาที่คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นั่นแหละ…

ผมเคยมีสวน ไม่ว่าจะเป็นที่ลำปางหรือลำพูน เวลาที่เราไม่อยู่ เพื่อนบ้านก็ถือสิทธิเข้าไปเป็นเจ้าของแทน อยากทำอะไรก็ทำ อยากเก็บอะไรก็เก็บ บางครั้งผมแอบแว๊บไปดู…เห็นผู้บุกรุกกระโดดรั้วหนีแทบไม่ทัน ถ้าย้ายไปอยู่ที่ใหม่ เจอเพื่อนบ้านใหม่ ผมกลัวเหลือเกินว่าจะพบกับสภาพเดิม ๆ เจอกับคำถามที่ว่า “มีอะไรให้ผมบ้าง?” แทนที่จะเป็น “มีอะไรจะให้ผมช่วยบ้าง?”

ชีวิตผ่านมาถึงขนาดนี้ ผมคงไปลงทุนลงแรงที่ไหน แบบเริ่มต้นนับศูนย์ใหม่ ไม่ได้อีกแล้ว…

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคารพกฏหมาย ไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น อย่างทุกวันนี้…ดูเหมือนทางม้าลายแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย การจอดรถตรงทางม้าลายให้คนข้ามไปก่อน ดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปซะแล้ว ผมยังสงสัยอยู่ว่ารัฐจะต้องเสียงบประมาณจ้างคนทาสีม้าลายบนถนนไปทำไม…ในเมื่อไม่มีความหมาย ตรงกันข้ามกับในสิงคโปร์ แค่ผมย่างเท้าลงบนทางม้าลายเท่านั้น ความอัศจรรย์ก็บังเกิด รถวิ่งมาต่างหยุดรอ ต่อกันเป็นแถว เพื่อให้คน ๆ เดียวเดินข้ามถนน!!! เท้าที่เหยียบลงบนม้าลายสามารถสั่งได้ขนาดนั้นเชียวหรือนี่!!! ผมอยากให้ที่เมืองไทยเป็นเช่นนั้นบ้าง…

บางครั้งอยากคิดหนีไปอยู่ที่อื่น ไปตายที่อื่น….

เคยคิดเข้าข้างตัวเองว่าไปอยู่ไหนก็น่าจะไม่มีคนรังเกียจ (ไม่รู้ว่าจะจริงหรือเปล่า) แต่เท่าที่เคยเดินทางไปต่างแดน ก็มีหลายครั้งที่เจ้าบ้านชวนให้อยู่ด้วย…

อยู่กับ jean และ Jan ที่ Adelaide


อยู่กับ Ali ใน Bangladesh

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? คำตอบน่าจะเป็นเพราะ…ผมอยู่ง่ายกินง่าย (สำคัญ) เล่นดนตรีได้ งานช่างได้ งานครัวได้ ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ และอีกอย่างหนึ่งคือผมเป็นคนใฝ่รู้ สามารถปรับตัวเข้ากับที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าฝรั่ง แขก จีน หรือญี่ปุ่น

อยากฝึกเล่น accordion ให้เก่ง ๆ แล้วเข้าคู่กับมือกีต้าร์สักคนนึง หางานทำอย่างที่เห็นในภาพ…


ต่อเพลงไทยไว้หน่อย เพราะถ้าเจอร้านอาหารไทยที่ไหน ก็ขอไปบรรเลงเพลงไทยกล่อมแขก แลกกับอาหารและที่ซุกหัวนอน ก่อนที่จะเดินทางต่อไป งั่ม ๆ กลัวอย่างเดียวว่าจะไปติดหนึบอยู่ที่ไหน แล้วขยับตัวไปต่อไม่ได้… ถ้ายังงั้นละ แย่เลย!

วันนี้รำพึงรำพันจริง ๆ เขียนไปเรื่อย…

No comments: