Friday, June 28, 2019

ความสุขบนดาดฟ้า

VoiceTV รายงานข่าวเรื่องค่าครองชีพในฮ่องกงและกรุงเทพฯ ใจความว่า...
บริษัทด้านที่ปรึกษาธุรกิจเผยผลสำรวจ พบฮ่องกงยังครองแชมป์เมืองที่มีอัตราค่าครองชีพสูงสุดในโลก รองลงมาคือ โตเกียว สิงคโปร์ โซล ส่วนกรุงเทพฯ ไต่ขึ้นเป็นอันดับที่ ๔๐ จากเดิมอยู่ที่ ๕๒ เหตุเศรษฐกิจขยายตัว คนย้ายจากชนบทเข้าเมือง...

อ่านแล้วผมกระหยิ่มใจที่ตัวเองเลือกมาอยู่บ้านห้างฉัตร ที่ ๆ ผมสามารถเก็บพริกขี้หนูมาทอดกินกับขนมจีนน้ำยาชุดละ ๑๕ บาท   กล้วยน้ำว้า ๖ หวีที่ตลาดบ้านปันง้าว แค่ ๒๐ บาท!  

จำได้ว่าผมเคยซื้อตั๋วโดยสารล่วงหน้าราคาถูก (เชียงใหม่-ฮ่องกง) ของสายการบิน HK Express เอาไว้ รอมาเกือบปี แต่พอถึงวันเดินทางกลับไม่ไป (no show) เอาซะงั้น 





ทิ้งเงิน ๒,๖๑๒ ไปเปล่า ๆ  ถามผมว่าเสียใจมั้ย? ขอตอบว่า "ไม่เลยครับ"  มันก็เหมือนซื้อ hard disk 3TB มาตัวนึงในราคาเกือบ ๓ พันบาท แต่เกิดทำหายก่อนที่จะนำมาใช้เก็บข้อมูลสำคัญ ซึ่งพอดีเจ้า hard disk ตัวนั้นมีจุดบกพร่องมาจากโรงงาน หากนำมาใช้ก็จะพังโดยไม่ทันได้ backup อะไรไว้  โชคดีที่มันหายไปซะก่อน!

เช่นเดียวกัน ...ไม่ไปฮ่องกงผมก็ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม หากต้องไปเช่ารูหนูอยู่ตั้ง ๑๐ วันคงหมดอีกหลายอัฐ แล้วการไปดูเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับ ๑ มันจะสู้ไปเช่าบ้านพักริมน้ำที่เวียงพูคาคืนละ ๕๐ พันกีบ (๒๐๐ บาท) แล้วตื่นไปตลาดเช้าท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เดินดูของที่แม่ค้านำมาวางขายไม่ดีกว่ารึ?


ว่าแล้วผมก็ขึ้นไปสำรวจสวนครัวบนดาดฟ้า... พร้อมกับนำภาพมาให้เพื่อนดูดังนี้


มะเขือเทศออกดอกแล้ว...



พริกหยวกก็ออก...เก็บกินได้



ต้นกะเพรากำลังแตกใบงาม... 



ส่วนชะอมคงต้องรอนานหน่อยกว่าจะได้เก็บกิน...


ไม่ต้องไปฮ่องกงหรอกครับ หาความสุขจากที่นี่ก็ได้!

Thursday, June 27, 2019

Smoko



"FB Trip ไปจำปาสัก" เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๖๐ นอกจากจะถูกหวยลาวเลข 10 ที่คุณฝ้ายเลือกให้แล้ว ผมยังได้ไปเที่ยวปากซอง โดยอาจารย์หมูพาไปเที่ยวน้ำตกและชมไร่กาแฟ...





ทำให้ผมคิดถึงไร่องุ่นใน Deraton, NSW, Australia ที่ได้ไปทำงานเป็นคนเก็บผลไม้ (fruit picker) ได้ ๑ ฤดูเก็บเกี่ยว...



ผมทำงานเข้าคู่กับเพื่อนชาวอเมริกันชื่อ Nick ซึ่งพักอยู่ด้วยกันใน cabin ที่เห็น...



วันนี้ขอเขียนเรื่อง "ภาษา" เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศซะหน่อย กล่าวได้ว่าเมื่อไปอยู่ออสเตรเลียได้หลายเดือน หูผมก็ปรับให้เข้ากับสำเนียงออสซี่ได้ในที่สุด  การอยู่และทำงานในที่ซึ่งไม่มีโอกาสได้ยินภาษาไทยเลย...พอนานเข้าเวลาฝันผมก็ฝันเป็นภาษาอังกฤษ!

ทำงานเก็บองุ่นต้องเริ่มงานตั้งแต่ฟ้าสาง เค้าจะมีช่วงพักประมาณ ๑๕-๓๐ นาที คนขับรถเก็บลังองุ่นนำน้ำชากาแฟและขนมหวานมาให้ พร้อมตะโกนเสียงดังว่า "Smoko!!"  วันแรกผมก็ไม่เข้าใจ ทีหลังจึงได้รู้ว่าเค้าให้หยุดพักเบรคนั่นเอง... 


หนังสือ Dinkum Oil (meanings and origins of things ausssies and kiwis say) หน้า 57 อธิบายว่า...
Smoko | A break from work for smoking and refreshment; the food and drink then taken
e.g. -  I've workded from six to six with no smoke-ho' for half the wages!
          The camera crew better take a smoko and come back after lunch.
          Half-past three.  Smoko.  We got thirty minutes.
เดี๋ยวนี้เค้าใช้เครื่องจักรทำงานแทนคนในการเก็บองุ่นแล้วครับ เสียง "Smoko!!" ใน Down Under คงได้ยินน้อยลง!

Wednesday, June 26, 2019

พริกขี้หนูทอด


"ข้าวปุ้น"... ถ้าเพื่อน ๆ ไปอีสานหรือ สปป.ลาวแล้วไม่รู้จัก ก็อาจพลาดโอกาสได้กินของอร่อยและราคาไม่แพง...



ร้านนางกุกในตลาดเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก ขายอาหารจำพวกเส้นมีขนมจีนรวมอยู่ด้วย...



อ่านจากป้ายผมเห็นราคา ๑๕-๒๐ พัน (กีบ)  โห...ตั้ง ๖๐-๘๐ บาทเลยนะท่าน  "แล้วทำไมถึงว่าถูก?"  ก็ที่นี่มันคือ "ตลาดดาวเรือง" ตลาดนักท่องเที่ยวของมหาเศรษฐีนีเมืองปากเซ ผู้มีคฤหาสน์ใหญโตอยู่นั่นไง!



หากได้มาเดินดูตลาดเช้าที่เวียงภูคา เพื่อน ๆ จะรู้ว่าข้าวปุ้น+น้ำแจ่วเมืองลาวไม่แพงอย่างที่คิด...



เคยเขียนถึงขนมจีนน้ำยาราคาถูกที่ห้างฉัตรมาแล้วครั้งนึง วันนี้ผมไปซื้อมากินอีก รู้สึกว่ามีลูกชิ้นปลาลูกเล็ก ๆ เพิ่มขึ้นมา...แต่ราคายังคงเป็น ๑๕ บาทเหมือนเดิม!



ผมเป็นคนกินเผ็ด คิดว่าถ้ามีพริกทอดอีกสักหน่อยคงจะดี พอดีมีพริกขี้หนูที่กินไม่ทัน เอาไปตากแดดเก็บไว้เป็นเดือนแล้ว...



เอาลงกระทะทอดในน้ำมันไฟอ่อน ๆ ให้เหลืองกรอบ เอามากินกับขนมจีนน้ำยา จักเพิ่มความอร่อยให้มากขึ้น!..


ขออภัยภาพเบลอ เพราะความหิวทำให้มือสั่น อิอิ
ฮุ้ย... เผ็ดน่าดู เพื่อน ๆ มีพริกขี้หนูสดที่กินไม่ทัน ก็เอาไปตากแดดแล้วนำมาทอดนะครับ!

ความสะดวกและอันตรายที่ตามมา

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 บริเวณสี่แยกใหญ่ (intersection) ซึ่งอยู่หน้าร้านเปียโนหรือบ้านห้างฉัตรของผม วันนี้การก่อสร้างปรับปรุงขยายถนนแล้วเสร็จค่อนข้างจะสมบูรณ์...


ที่ยังคงค้างหรือถูกปล่อยทิ้งไว้ก็มีเพียงการเก็บงาน ซึ่งผมไม่ทราบชัดว่าใครจะมาเป็นผู้ดำเนินงานต่อจากบริษัทรับเหมา การปลูกหญ้าบนเกาะกลางถนนคงต้องเป็นหน้าที่ของกรมทางฯ ต้องใช้งบอีกไม่น้อย เงินทอนเหลือเยอะ!



ถนนกว้างขึ้นอีกข้างละ ๒ เลนทำให้ยากสำหรับการข้ามถนนจากบ้านผมไปฝั่งป้อมตำรวจ...



เหยียบคันเร่งกันเต็มที่ รถวิ่งเร็วกว่าเดิม คนที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมหรือเอ็นข้อเข่าฉีกเช่นผมข้ามถนนค่อนข้างลำบากและอันตราย...



ข้อดีที่มี คือทำให้การเลี้ยวรถเข้ามายังร้านเปียโนหรือ HBH (Hangchat Backpacker Hostel) ทำได้ง่ายกว่าเดิม  เพื่อนไม่ต้องไปยูเทิร์นที่ถนน 1039 อีกต่อไป ขับรถมาหยุดตรงที่เห็นในภาพ ดูรถให้ดีแล้วเลี้ยวซ้ายเข้ามาเล้ย...



ข้อดีอีกอย่างนึงคือ ผมรู้สึกสะดวกใจยิ่งขึ้น เมื่อเค้าย้ายที่ทิ้งขยะมาใกล้...


จะยินดียิ่งขึ้นถ้าระบบน้ำประปาบ้านหัวหนองกลับมาดีเหมือนเดิม! 

Tuesday, June 25, 2019

สรรชัยการมีด

หลายวันมาแล้วเขียนเรื่องมีดพับ (folding bike) บอกว่าจะนำไปให้ช่างมีดตัวจริงช่วยฟื้นฟู...ผมอยากไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีชื่อแห่งบ้านขามแดง อ.ห้างฉัตร จะได้ถ่ายภาพแล้วนำเรื่องมาลงบล็อก



chiangmainews.co.th ลงข่าวว่า...
หมู่บ้านขามแดงได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อในการทำมีดโบราณและอาจจะกล่าวได้เป็นหมู่บ้านเดียวของจังหวัดลำปางที่ยังคงเอกลักษณ์การทำมีดแบบโบราณที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษนับครึ่งศตวรรษ ชื่อเสียงและฝีมืออันขึ้นชื่อในการทำมีดได้ขจรขจายไปในหมู่คนรักมีด จนทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นแหล่งผลิตมีดที่ผู้คนต่างถิ่นเดินทางเข้าออกและมาเลือกหาซื้อมีดฝีมือเลิศไม่เว้นในแต่ละวัน
บ่ายวันนี้ผมนำมีดพับเล่มเล็กออกจากบ้าน (1)  ขี่จักรยานยนต์ ๗๕๐ เมตรไปยังร้านสรรชัยการมีด(2)...


ร้านสรรชัยการมีด (2) ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 1039 มีโรงตีมีดอยู่ด้านหลัง...

.

มีแม่บ้านหน้าตาซีดเซียวอยู่ในร้าน...ผมถามถึง "สล่ามีด" เธอบอกว่าอยู่หลังบ้าน


พร้อมกล้องถ่ายรูปคล้องคอ เดินผ่านด้านข้างเข้าไปยังเสียงตีมีดที่อยู่ด้านหลัง เจอช่างทำมีด ผมบอกว่า "เอามีดมาแป๋งฮื้อมันดี"  ช่างมีดเพียงแค่เหลือบตามองดูมีดพับในมือผมแล้วบอกให้นำไปให้ช่างที่ซอย ๒ (ชื่ออะไรจำไม่ได้)   ผมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่มีดพับของผมมีขนาดเล็กหรืออาจพูดว่ากระจอกเกินกว่าที่ช่างจะรับไว้พิจารณา ขอบคุณช่างมีด แล้วเดินออกมาถ่ายภาพป้ายให้บริการของร้านสรรชัยการมีดซึ่งเขียนว่า "ลับมีดทุกชนิด" ไว้อีก ๑ บาน...


เสียดายจัง...เลยไม่รู้ว่าถ้าเจ้า folding knife เก่า ๆ ของผมเจอกับช่างมีดระดับอินเตอร์แล้วผลจะออกมาเป็นเช่นไร?

Monday, June 24, 2019

ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy)

วันก่อนเขียนเรื่องปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังถึงเรื่องการใช้น้ำปัสสาวะล้างตาและโพรงจมูก ซึ่งเป็นเรื่องที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี...ผมคิดมาหลายวันก่อนที่จะตัดสินใจเขียน

ภาพจาก bloggang.com - thanks!

เท่าที่ดู stats ผมพบว่าเรื่องเยี่ยวได้รับความสนใจน้อยกว่าเรื่องอื่น ๆ อาจเป็นเพราะเยี่ยวคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ ไม่เป็นไรจ้า...อะไรพอมีประโยชน์ แม้จะสำหรับคนเพียงไม่กี่คน ผมก็อยากเขียนถึง เอาล่ะ...วันนี้ขอเขียนถึงเรื่อง "ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy)" ดีกว่า

"ออยล์พูลลิ่ง" คือวิธีบำบัดของอินเดีย เป็นการอมน้ำมันไว้ กลั้วให้มันเคลื่อนไปทั่วช่องปากประมาณ ๑๕-๒๐ นาที แล้วบ้วนทิ้งไป    health.kapook.com กล่าวว่า...
...ในปากของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทาน กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม
...หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิดล้วนเริ่มต้นที่ปาก หากในปากของเรามีแผลหรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ.......


ตื่นนอนแล้วผมล้างตาและจมูกด้วยการทำปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) เสร็จแล้วก็ทำ "ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy)"  โดยใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น...  


เทน้ำมันมะพร้าวใส่ช้อนโต๊ะพอไม่ให้หกแล้วกรอกเข้าปาก อมไว้ขณะไปทำงานเช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ดูแลต้นไม้ ระหว่างนั้นก็กลั้วคอให้น้ำมันเคลื่อนผ่านฟันและเหงือกไปทั่วช่องปาก น้ำมันมะพร้าวเมื่อถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมโนกลีเซอไรด์ชื่อว่า "โมโนลอริน" มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค อมไว้อย่างน้อย ๑๕ นาทีแล้วค่อยบ้วนน้ำมันที่เปลี่ยนเป็นสีขุ่นทิ้ง ประสานกับการทำ Urine Therapy...ผมทำ "ออยล์พูลลิ่ง" ทุก ๆ เช้ามาหลายเดือนแล้วครับ รู้สึกว่าปากสะอาด ฟันและเหงือกแน่นขึ้น ลมหายใจก็สดชื่น ตามปกติเสร็จแล้วผมจะไม่แปรงฟัน ทานอาหารเช้าได้เลย เวลาเดินทางไม่ว่าจะเป็น FB Trip หรือ Travellin' light จะต้องมีน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นใส่ขวดเล็ก ๆ ติดเป้ไปด้วย เพื่อใช้ทำออยล์พูลลิ่งตอนเช้า...

ภาพจาก positivehealthwellness.com
นั่งรถไฟมาทั้งคืน ตอนเช้าทำออยล์พูลลิ่งแล้ว รู้สึกว่าดียิ่งกว่าแปรงฟันซะอีก!

Sunday, June 23, 2019

ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy)



เลิกที่จะรับรู้เรื่องข่าวสารการเมือง เริ่มมีเวลา...ผมอยากจะเขียนเรื่องลงในบล็อกให้มากขึ้น...


วันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ผมเขียนไว้ใน wichai's space ว่า...
เรื่องอาการสายตาสั้นขนาดพันกว่าของผมที่ได้เล่าไว้หลายตอน... จำได้ว่าผมเล่ามาถึงการใช้คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งตั้งแต่ผมอายุ ๒๐ กว่า ๆ   ใส่ทำงาน เรียนหนังสือ ท่องเที่ยว ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ ฯลฯ โฮ้ย…สารพัดสารพัน ผมก็ต้องอาศัยเจ้าคอนเเทคเลนส์ชนิดแข็งซึ่งแปะอยู่บนแก้วตา ที่จะทำให้มองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจน และสามารถใช้ชีวิตผ่านมาได้จนอายุได้เกือบจะ ๕๐ ปี
ในช่วงเกือบ ๓ ทศวรรษที่ผ่านมา ผมมีความยากลำบากขนาดไหน มากด้วยประสบการณ์ในการใช้คอนแทคเลนส์อย่างยาวนาน แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาเล่าอย่างละเอียด บางเรื่องทำให้ผมรู้สึกอัดแน่นในหัวใจยามที่ได้คิดถึง อย่างเช่น ครั้งหนึ่งที่ผมทำคอนแทคเลนส์ข้างหนึ่งตกหายที่หน้าห้องน้ำ(บ้านทุ่งโฮเต็ล)  วันนั้นผมสิ้นหวังและตัดสินใจเลิกค้นหาไปแล้ว แต่พอผ่านไปดู…ผมเห็นแม่กำลังนั่งอยู่หน้าห้องน้ำ ค่อย ๆ ใช้มือลูบไปตามพื้นปูนเพื่อช่วยหาคอนแทคเลนส์ให้ ทั้งที่สายตาแม่ก็สั้นระดับพันกว่า และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าคอนแทคเลนส์นั้นมีรูปร่างลักษณะเช่นไร ด้วยความรักและความเป็นห่วง…แม่อุตส่าห์แอบไปคลำหาให้ลูก!
ผมโชคดีที่ดวงตาไม่เกิดอาการระคายเคืองง่ายนัก ทั้ง ๆ ที่ผมสวมคอนแทคเลนส์ตั้งแต่เช้ายันดึก เล่นดนตรีในไนท์คล้บ, ค็อคเทลเล้าจน์ หรือบาร์ญี่ปุ่น…ผมไม่มีโอกาสได้ถอดคอนแทคเลนส์เลย จนกว่าจะเข้านอน แล้วผมก็เป็นคนที่แย่มาก ๆ ที่ไม่กล้าเปิดเผยว่าผมสวมคอนแทคเลนส์  ผมอายที่จะให้คนอื่นรู้ว่าผมสายตาสั้นมากกกก…..
อืมม์…ถ้าจะเล่ามากกว่านี้ ก็คงจะกินเนื้อที่ของบล็อก ผมขอรวบรัดไปถึงตอนที่ได้เปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่ม (soft contact lens) เลยดีกว่า!  ตอนที่หันไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่มนั้น ผมทำงานอยู่ที่โรงแรมพิมาน จังหวัดนครสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะเป็นคอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มที่ยังต้องสั่งทำ (ไม่ใช่แบบใช้แล้วทิ้งอย่างทุกวันนี้)  ราคาก็ยังคงตกคู่ละ ๑,๔๐๐ บาท  เปลี่ยนไปใช้คอนแทคเลนส์แบบนิ่ม.. ผมยังคงเก็บคอนแทคเลนส์แบบแข็งไว้ รวมทั้งเจ้าน้ำยา Liquifilm (ขวดสุดท้ายที่ซื้อจากร้านแว่นตรงข้ามโรงภาพยนต์พาราเม้าท์ ถนนเพชรบุรี)
ผมมาได้สวมคอนแทคเลนส์แบบนิ่มชนิดใช้รายเดือนก็ตอนกลับมาอยู่ลำปาง ตรงหัวมุมห้าแยกหอนาฬิกามีร้านแว่นของห้างแว่นท๊อปเจริญอยู่ร้านหนึ่ง ที่นั่น..ผมไปซื้อคอนแทคเลนส์แบบรายเดือนไว้ใช้ทีละ ๓ กล่อง รวมค่าน้ำยาแล้ว ผมต้องจ่ายครั้งหนึ่งเป็นพัน เพื่อให้สามารถมองเห็นเช่นคนปกติได้อีก ๓ เดือน รวมแล้วก็ประมาณปีกว่า ๆ ที่ผมยังคงต้องมีคอนแทคเลนส์แปะอยู่บนดวงตา แต่ผมก็มองเห็นไม่ค่อยชัดนัก คงเป็นเพราะสายตาของผมเอียงมาก ๆ และสองข้างก็สั้นไม่เท่ากันด้วย แถมตอนที่ไปซื้อ…ผมก็กะเอาว่าสัก -9.50 กล่าวได้ว่าผมนั้นโง่จริง ๆ  ที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องในเรื่องของสายตามาโดยตลอด!!
และแล้ว…จุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ของผมก็มาถึง มันคือวันที่ผมตัดสินใจไปพบจักษุแพทย์ (ตัวจริง) ที่คลีนิกหมอพงษ์ศักดิ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวัดป่าฝางหรือวัดศาสนโชติการาม ถนนสนามบิน…
คุณหมอพงษ์ศักดิ์หรือคุณหมอหล้าได้ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาให้ผมทีละข้าง จนกระทั่ง…ผมกลายเป็นผู้ที่สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องสวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้ในที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมจะดีใจขนาดไหน และถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะดีใจขนาดไหน?
I was reborn!  พระเจ้าได้ประทานดวงตาให้ โดยที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน...
นั่นคือบล็อกที่เขียนเมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ผมยังไม่ได้เล่าต่อเรื่องการผ่าตัดและการถูกยิงเลเซอร์ ซึ่งคิดว่าไม่เป็นไร วันนี้ผมอยากจะเขียนอีกเรื่องหนึ่งซึ่งอาจมีประโยชน์ บางท่านอ่านแล้วจะรู้สึกว่าน่ารังเกียจก็ได้ เรื่องนั้นคือเรื่องน้ำปัสสาวะ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเยี่ยว

หลายปีที่ผ่านมาผมได้พยายามศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับ "ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy)"  ในเว็บกองการแพทย์ทางเลือก  นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ นักวิชาการสาธารณสุข ได้เขียนไว้ว่า...
ปัสสาวะบำบัด (Urine Therapy) คือ การใช้ปัสสาวะของตัวเองเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค โดยไม่ใช้ยาและยังช่วยส่งเสริมสุขภาพด้วย ตำราไทยโบราณหลายเล่มกล่าวถึงการใช้ปัสสาวะรักษาโรค ในพระวินัยปิฎกเขียนไว้ว่า พระภิกษุปฏิบัตินิสสัยสี่ ให้ฉันน้ำมูตรแช่ผลสมอเพื่อแก้โรคต่างๆ เมื่อพันปีก่อนคริสต์ศักราช ในคัมภีร์พระเวทย์ของฮินดู ถือว่าน้ำปัสสาวะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ดื่มแล้วจะเป็นน้ำอมฤต ในตำราการแพทย์จีน เขียนขึ้นช่วง พ.ศ. ๕๘๖-๗๕๔ อ้างว่าปัสสาวะเป็นตัวละลายยาสมุนไพร ช่วยทำให้สมุนไพรมีสรรพคุณดียิ่งขึ้น  พ.ศ. ๖๐๐ ปรินุส นักปราชญ์ชาวโรมัน แต่งตำราว่าด้วยปัสสาวะเป็นยารักษาพิษต่าง ๆ และใช้ประโยชน์ในการฟอกหนัง ย้อมสีผ้า  พ.ศ. ๑๗๘๒-๑๘๓๒ ญี่ปุ่นยุคอิมเป็งดื่มน้ำปัสสาวะในการรักษาโรค
จากการวิจัยของ ดร.ฟารอน นักชีวเคมี พบสารต่างๆ ในปัสสาวะ ๙๕% เป็นน้ำ  ๒.๕% เป็น urea และ อีก ๒.๕% เป็นสารอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนผสมของเกลือแร่ เกลือ ฮอร์โมน เอ็นไซม์ และภูมิคุ้มกัน แยกตามส่วนประกอบในน้ำปัสสาวะ 100 cc. มี
    Urea nitrogen 682 ม.ก.
    Urea 1,459 ม.ก.
    Creatinine nitrogen 36 ม.ก.
    Creatinine 97.20 ม.ก.
    Uric acid nitrogen 12.30 ม.ก.
    Uric acid 36.90 ม.ก.
    Amino nitrogen 9.70 ม.ก.
    Ammonia nitrogen 57 ม.ก.
    Sodium 212 ม.ก.
    Potassium 137 ม.ก.
    Calcium 19.50 ม.ก.
    Magnesium 11.30 ม.ก.
    Chloride 314 ม.ก.
    Total sulphate 91 ม.ก.
    Inorganic sulphate 83 ม.ก.
    Inorganic phosphate127 ม.ก.
ที่น่าสนใจในปัสสาวะมีสารอื่นๆ ได้แก่ เอนไซม์: Amylase (diastase), Lactic dehydrogenase (LDH), Leucine amino-peptidase (LAP) และ Urokinase (ใช้ละลายลิ่มเลือดในผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตันเฉียบพลัน) ฮอร์โมน: Catecholamines, 17–Catecholamine, Hydroxy–steroids, Erythropoietin, Adenylate cyclase, Prostaglandins, Growth hormones, ฮอร์โมนเพศ, อินซูลิน ฯลฯ
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลซึ่งหาได้ทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งองค์ความรู้จากหมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) ซึ่งเขียนไว้ว่า
...นักวิจัยเชื่อว่ายังมีสารที่เรายังไม่รู้จักอีกมากในปัสสาวะแท้จริงแล้วเขาเป็นยาอยู่สองอัน คือ ๑) ตัวเขาเองมีสารและตัวพลังงานที่เป็นยา ๒) คนที่กล้ากินกล้าใช้น้ำปัสสาวะคือคนที่กล้าทำลายความรังเกียจในน้ำปัสสาวะ ความรังเกียจเขาเรียกว่า "อัตตา" ปกติตัวรังเกียจในน้ำปัสสาวะมันเป็นกิเลส มันเป็นมาร มันจะดูดพลังเราไป รังเกียจยังเป็นทุกข์ ต้องไม่รังเกียจ...
ขอหยิบยกมาแค่นี้นะครับ เพื่อน ๆ สนใจก็ไปค้นหาอ่านเพิ่มเติมได้ วันนี้ผมจะขอเล่าประสบการณ์เฉพาะซึ่งเกี่ยวกับเรื่องการใช้น้ำปัสสาวะสักเล็กน้อย...

ผมใช้น้ำปัสสาวะ (เยี่ยว) ในการบำบัดมานานหลายเดือน ไม่ถึงขนาดนำมาดื่มนะครับ แต่ใช้กับภายนอกดังข้อมูลที่ว่า...
แบบใช้ภายนอก
ทาและนวดผิวหนัง โดยการนวดร่างกายทั้งหมดหรือบางส่วนทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วล้างออก จะช่วยรักษาโรคผิวหนังได้หรือผิวหนังที่โดนแดดเผา 

ล้างเท้า กรณีมีปัญหาที่ผิวหนังและเล็บเท้า
สระผม ช่วยทำให้ผมสะอาด นุ่มสลวย และทำให้ผมดกขึ้น
ปัสสาวะสามารถรักษาอาการปวดหลัง แผล แผลไฟไหม้ ภูมิแพ้ หืดหอบ ไมเกรน มะเร็ง ผิวหนังผื่นแพ้ กามโรค ปวดตามข้อ โรคเก๊าส์ ท้องผูก มาลาเรีย หวัด ตับอักเสบ ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง ความดันโลหิตสูง ฯลฯ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
ที่มา -  บรรจบ ชุณสวัสดิกุล, วิทยาศาสตร์ว่าด้วยน้ำปัสสาวะบำบัดโรค (กรุงเทพ:สำนักพิมพ์รวมทรรศน์, 2546)
 

ผมเริ่มใช้น้ำปัสสาวะล้างตาและล้างจมูกมาตั้งแต่ครั้ง FB Trip ไปมะละกา บนขบวนรถเร็วชั้น ๓ ตื่นมาตอนเช้าขี้ตากัง ผมเข้าห้องน้ำบนรถไฟพร้อมกับถ้วยพลาสติก ฉี่ใส่ถ้วยในปริมาณที่พอเหมาะแล้วยกขึ้นลืมตาในปัสสาวะ (เหมือนแต่ก่อนเคยล้างตาด้วยยาล้างตา) สัมผัสได้ถึงความอุ่นของปัสสาวะ รู้สึกเหมือนดวงตาถูกชำระล้างด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำยาล้างตาที่มีคุณภาพ ไม่ต้องนานนะครับ จากนั้นก็เททิ้ง ฉี่ลงถ้วยอีกครั้ง ทำกับดวงตาอีกข้างในลักษณะเดียวกัน เททิ้งแล้วก็ฉี่อีกเป็นครั้งสุดท้าย ยังเหลือฉี่ในกระเพาะปัสสาวะก็ปล่อยลงส้วมให้หมด นำน้ำมาผสมฉี่ในถ้วยในประมาณเท่า ๆ กันแล้วสูดเข้าจมูก สั่งขี้มูกแรง ๆ ล้างโพรงจมูกให้สะอาด สั่งลงส้วมไป จากนั้นก็เทน้ำสะอาดใส่ถ้วยเพื่อล้างจมูกอีกครั้ง แล้วล้างถ้วยเก็บ... 

บางครั้งน้ำฉี่ผ่านช่องจมูกเข้าปาก มีรสเค็มนิด ๆ ผมไม่รู้สึกเหม็น ไม่มีความรังเกียจเลย ผมทำปัสสาวะบำบัดมาถึงวันนี้ (แม้แต่ฉี่คนอื่นก็ไม่รังเกียจ) ผ่านมาได้หลายเดือนแล้วนะเนี่ย!  

จำได้ว่าผมเคยถามหมอพงษ์ศักดิ์ จักษุแพทย์ เกี่ยวกับตัวอะไรไม่รู้ที่มันวนเวียนอยู่ตรงหน้าเวลาที่มองออกไป คล้ายกับแมงหวี่เหมือนเส้นไยอะไรที่มารบกวนสายตา?  หมอหล้าพูดว่า "เหมือนไยก่ำปุ้งแม่นก่อ?"  เพื่อน ๆ รู้มั้ยครับว่าตอนนี้มันไม่มีอยู่ในตาของผมอีกแล้วทั้งสองข้าง สายตาของผมดูเหมือนว่าจะไม่เสื่อมลง กลับจะดีขึ้นด้วยซ้ำ ผมไม่เคยรู้สึกคันตา ตาแดง หรือมีขี้ตาเยอะ ตาไม่เคยสดใสเหมือนทุกวันนี้เลยจริง ๆ



ไม่เคยรู้สึกว่าตาแห้ง ไม่ต้องหยอดน้ำตาเทียม ไม่ต้องสวมแว่น...ผมสามารถสนเข็มได้ด้วยตาเปล่า!!


เพื่อน ๆ อ่านเรื่องใช้ปัสสาวะของผมแล้ว... รู้สึกคลื่นไส้มั้ยครับ? 555

Saturday, June 22, 2019

ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง



หลังจากเฝ้าไข้ ๑ คืนที่โรงพยาบาลเขลางค์นคร-ราม ผมก็ต้องไปเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง อีก ๑ คืน  



โรงพยาบาลห้างฉัตร คือโรงพยาบาลประจำอำเภอที่ผมไปรับการรักษาฟรีโดยใช้สิทธิผู้สูงอายุ เมื่อย้ายบ้านมาอยู่ห้างฉัตรผมก็ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เป็นคนไข้คลินิกพิเศษ ได้รับยามากินทุก ๒-๓ เดือน และได้รับการตรวจเลือดและปัสสาวะปีละครั้ง ผมเว้นจากการไปโรงพยาบาลมาได้เกือบปี หลังจากเลือกที่จะใช้วิธีควบคุมอาหารและดูแลตัวเอง แต่แล้วเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เริ่มรู้สึกว่าจำเป็นต้องไปรับการรักษาอีกครั้ง ผมกลับไปโรงพยาบาล เพื่อรับยา Clopidogrel (ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) และยา Anapril (ยารักษาภาวะความดันโลหิต) มากิน

การไปโรงพยาบาลห้างฉัตร ทำให้ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในด้านบวก ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบเวชระเบียน การใช้ระบบออนไลน์ไม่ต้องให้คนไข้ถือ opd card  การส่งผลทางคอมพิวเตอร์ การจ่ายยา การตรวจรักษา และอื่น ๆ  แต่ที่ผมอยากจะกล่าวถึงในวันนี้คือเรื่อง "ตึกผู้ป่วยใน" (1) ซึ่งเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าไปสำรวจและอยู่ในนั้น ๑ คืน...



ถึงจะมีกล้องถ่ายรูปในมือถือ แต่ผมก็ทำตามระเบียบ คือไม่บันทึกภาพภายใน มีเพียงระหว่างนอนเอนหลังอยู่ตรงระเบียงนอกวอร์ด ก็เลยแอบกดชัตเตอร์ ๓-๔ แชะ เก็บภาพมาอวดเพื่อน ๆ


อยากให้เห็นระบบการแยกขยะที่ดี ซึ่งแบ่งออกเป็น ขยะทั่วไป ขยะเปียก ขยะรีไซเคิล และ ขยะอันตราย...


รู้สึกพึงพอใจมาก ๆ กับประสบการณ์ที่ได้รับจากตึกผู้ป่วยใน ซึ่งเป็นแค่เพียงอาคารชั้นเดียว (1) เข้าไปทางด้านซ้ายมือจะเป็นห้องรวมสำหรับผู้ป่วยหญิงและชายอย่างละห้อง ตรงกลางเป็นห้องปฏิบัติงานของพยาบาล ทางด้านขวาเป็นห้องพิเศษ (ไม่ได้นับว่ามีกี่ห้อง คิดว่าไม่น่าเกิน ๖ ห้อง) ห้องรวมแต่ละห้องมี ๑๐ เตียง++ ห้องน้ำและระเบียงอยู่ด้านข้าง แต่ละเตียงมีม่านรูดเพื่อปิดบัง... 



อะไรคือสิ่งที่ผมประทับใจ? อย่างแรกคือการดูแลเอาใจใส่ของพยาบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่จะพูดคำเมืองกับคนไข้ ไม่มีเสียงตวาดหรือสีหน้าไม่พอใจ ต่างกับที่โรงพยาบาลศูนย์ฯ ซึ่งพอหมดเวลาเยี่ยม รปภ. ก็จะขึ้นมาไล่ แต่ที่นี่อนุญาตให้ญาติอยู่ไปเหอะ จะปูเสื่อนอนเฝ้าข้างเตียง (อย่างที่ผมและคนอื่น ๆ ทำ) ก็ไม่มีใครว่า ทั้งคนเฝ้าไข้ คนไข้ แต่ละเตียงต่างทักทายและช่วยเหลือกัน ไม่มีใครถือตัว ตอนสาย ๆ มีแพทย์มาราวด์ ก็เป็นหมอหนุ่มพูดจาคำเมืองม่วนแต้ม่วนว่า!  ตอน discharge มีเภสัชกรมาจัดยาฟรีให้ถึงวอร์ด ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี

ผมเคยนึกอยากเข้าดูภายในตึกผู้ป่วยใน เพื่อจะได้รู้ว่าอีกหน่อยตัวเองเข้ามานอนรักษาตัวจะเป็นเช่นไร ตอนนี้ผมได้เห็นแล้ว...บอกได้ว่าไม่มีที่ไหนดีเท่านี้อีกแล้ว (สำหรับผมน่ะ) โรงพยาบาลอะไรกัน? มีที่จอดรถกว้างขวาง อยู่ด้านหน้าตึก OPD และด้านข้างตึกผู้ป่วยใน แค่เดินใกล้ ๆ ก็ถึงแล้ว (อย่างเนี้ยไม่สามารถหาได้ในโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง โรงพยาบาลมหาราชที่เชียงใหม่ หรือโรงพยาบาลอื่น ๆ) นอกจากนั้นที่นี่ยังถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวเย็นตา ผมหายใจได้โล่งปอดดีแท้!



หากยังคงใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่ห้างฉัตร ผมคงไม่พ้นที่จะได้มานอนมองต้นไม้เหล่านี้ยามเมื่อมาแอดมิท!