เช้านี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ผมคว้า "ตลิ่งสูง ซุงหนัก" หนังสือนวนิยายขนาด ๑๙๔ หน้า ขึ้นไปนั่งอ่านบนดาดฟ้า...
นานแล้วที่ไม่มีโอกาสได้นั่งอาบแดดอ่านหนังสืออย่างเช่นวันนี้ ผมรู้สึกว่าเวลาของผมนั้นเหลือน้อยเต็มที เสียดายที่ยังมีอะไรดี ๆ ให้เสพอีกมากมาย... คงไม่ทันแล้วล่ะ! อยากเป็นหนอนหนังสือเหมือนคุณสาโรจน์ อยากเขียนบทความได้ดีเหมือนคุณเมธี อยากวาดรูปสวย ๆ เฉกเช่นคุณเดชา... แต่ก็ทำไม่ได้ซักกะอย่าง!
ทุกวันนี้ทำได้แค่หยิบผลงานจากปลายปากกานักเขียนผู้ประสบความสำเร็จขึ้นมาอ่าน...
"ตลิ่งสูง ซุงหนัก" เขียนโดย "นิคม รายยวา" ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนหรือที่เรียกว่ารางวัลซีไรต์ในปี ๒๕๓๑
อ่านรวดเดียวจบ ทำให้นึกถึงคำว่า "unputdownable" ผมรู้จักคำนี้มานานแล้ว มันบรรยายลักษณะของหนังสือที่อ่านในวันนี้ได้เป็นอย่างดี!
วิกิพีเดียเขียนถึงเนื้อเรื่องใน "ตลิ่งสูง ซุงหนัก" ไว้ดังนี้...
คำงายเป็นควาญช้างของพลายสุด เขารักพลายสุดมากเพราะเคยเลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็ก แต่เนื่องจากความจำเป็นในครอบครัวเขา จึงต้องเสียพลายสุดไป เมื่อมาพบพลายสุดอีกครั้งหนึ่งเขาก็พบว่าพลายสุดได้สูญเสียงาไปหมดเหลือแต่งวงที่ใช้งัดและยกซุง นอกจากจะเป็นควาญช้างแล้วคำงายยังแกะสลักช้างไม้ได้ด้วยแต่เขาไม่ชอบงานนี้ ตอนจบของเรื่องเขาได้ตกลงกับนายของเขาโดยเอาช้างไม้แกะสลักแลกกับพลายสุด แต่ทั้งคำงายและพลายสุดไม่มีโอกาสที่จะได้พบความสุขอย่างแท้จริง เพราะขณะที่กำลังขนซุงขนาดหนัก พลายสุดได้พลาดท่าตกจาก ตลิ่งสูง ทั้งสองเสียชีวิตพร้อมกัน
ผู้เขียนต้องการจะเน้นให้เห็นว่าคนส่วนมากชอบติดอยู่กับซากมากกว่าสิ่งมีชีวิต และทุกคนมีการเกิดและตายอย่างละหนึ่งครั้งเท่านั้น แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างสิ่งนั้นเราต้องหาเอง ชีวิต คือ การรับส่วนแบ่งที่ต้องเฉลี่ยกันไม่ว่า ความทุกข์ ความสุข ความดี ความเลว แต่ละคนมักจะแย่งกัน รับความดีไว้มากกว่า ส่วนด้านไม่ดีไม่อยากยอมรับกัน
หน้า ๑๒๐-๑๒๑ มีข้อความที่ทำให้ผมต้องหยุดแล้วคิดตาม...
ทำไมต้องเอาไม้ใหญ่มาทำช้างนะ คำงายคิด คนเรานี่แปลกจริง ๆ ไม้ใหญ่มันก็ใหญ่ของมันอยู่แล้ว คนไม่ได้ทำให้ช้างใหญ่ แต่ท่อนไม้มันใหญ๋ของมันเอง ตัวมันจริง ๆ คือต้นไม้ แต่คนกลับไม่เห็นความสวยและมีค่าของมันตอนมีร่มเงา มีชีวิตกลับโค่นมัน ลิดกิ่งตัดใบให้เป็นซากไม้ แล้วเอามันมาแกะให้เหมือนซากช้าง ชื่นชมมันมากกว่าได้เห็นช้างจริงหรือต้นไม้ที่มีชีวิตเสียอีก ทำไปทำมาก็จะไม่มีของจริงเลยสักอย่าง ไม่ว่าช้างหรือต้นไม้....
จริงสินะ...จำได้ว่าเรื่องต้นไม้ตรงสี่แยกนาก่วม ผมเคยบอกกับ Sid เพื่อนฝรั่งว่าขอให้แกมีชีวิตอยู่ทันได้เห็นต้นไม้เหล่านั้นสูงใหญ่เสียก่อน ต่อมาไม่นานต้นไม้เหล่านั้นก็ถูกตัดหรือไม่ก็ขุดย้ายออกไป ผมเห็นอีกที..ตรงนั้นก็เหลือแค่เพียงพื้นที่ราบเตียน!
เค้าจะทำลายมันด้วยเหตุผลใดผมไม่อาจทราบได้ แต่อยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในฮานอย ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทยอาจจะถูกโค่นทิ้งไปนานแล้ว!
คนเรามักจะมองไม่เห็นคุณค่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ต่อเมื่อไม่มีมันแล้วนั่นแหละจึงอาลัยหา!