Monday, May 29, 2017

สีสันบนความเจ็บปวด

ผมนอนติดเตียงมากไม่ได้เพราะตรงสะโพกเริ่มมีรอยช้ำ เกรงว่าจะลุกลามกลายเป็นแผลกดทับ  (bed sore) จึงต้องเข็นตัวเองมานั่งหน้าคอมพ์ฯ เริ่มต้นเขียนบล็อก.... ฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ !

พูดถึงเรื่องความเจ็บปวด (pain) ผมพยายามนึกว่าอะไรจะเป็นสุดยอดแห่งความเจ็บ หลายท่านอาจบอกว่า "อกหัก (broken heart)"  นั้นปวดร้าวที่สุด แต่ผมไม่ขอจัดให้อยู่ใน category ที่กล่าวถึง 

ผมเป็นคนไม่กลัวเข็ม กล่าวคือเวลาถูกฉีดยา เจาะเลือด หรือทำอะไรกับแผลบนร่างกายตนเอง ก็จะมองดูได้สบายโดยไม่เบือนหน้าหนี ผมขอจัดอันดับอาการเจ็บแผลที่ยังมิได้เข้าลึกถึงกระดูกว่าไม่หนักหนาสาหัสนัก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เคยโดนเย็บแผลที่นิ้วมือขวาแบบสด ๆ เจ็บจนถึงขั้นมือสั่น น้ำตาไหลพราก แต่ก็ยังทนได้...

ความเจ็บปวดที่รู้สึกว่าเกือบสุดทนและลืมไม่ลงของผมก็คือ ตอนที่ถูกคุณหมอพงษ์ศักดิ์ใช้เลเซอร์ยิงรักษาจอประสาทตา ( Laser Photocoagulation ) 

นอกจากนั้นแล้ว เท่าที่เจอมาก็เป็นเรื่องของการปวดฟัน ปวดข้อ ปวดกระดูก และปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเจ็บจริง ๆ แต่ยังพอทนได้ และสามารถบรรเทาลงได้ด้วยการใช้ยาชาหรือยาแก้ปวด...

ตอนรถมอเตอร์ไซค์ล้มทับขา หัวฟาดพื้น นอนหงายอยู่กลางถนน มีคนเข้ามาช่วยกันดึงมือให้ลุกขึ้น ตอนนั้นทุกอย่างยังชาอยู่ ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่าใด พอทรงกายลุกขึ้นได้ก็ขี่รถกลับมาร้านลำแต้ซึ่งอยู่ข้างบ้าน...  "น้องยา" เพื่อนบ้านที่แสนดีได้ช่วยดูแลทำความสะอาดแผลและใส่ยาให้โดยไม่รังเกียจ (ขอขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง)...  


พอกลับถึงบ้านความเจ็บปวดก็ตามมา ผมต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นบันไดไปถึงที่นอนบนชั้นสาม พอหลังแตะฟูกก็ลุกไม่ได้อีกเลย ขาขวาบวมเป่ง ขยับไม่ได้ นอนตัวแข็งทื่อเหมือนผีดิบ ลุกไปกินน้ำไม่ได้ ผมรู้สึกกระหายและเจ็บปวดยิ่งนัก...

เนี่ยก็ผ่านมาได้หลายวันแล้ว แผลเริ่มสมาน ความเจ็บปวดหายไป แต่ก็ยังเดินไม่ได้ วันนี้ผมขยับมานั่งหน้าคอมพ์ฯ ได้ ก็อยากนำภาพสีสันบนบาดแผลที่ได้จากยาใส่แผล "โพวิโดน ไอโอดีน (Povidone iodine)" มาโพสต์แก้เหงาสักหน่อย...







 มองความเจ็บปวดให้งดงามก็มีความสุขได้ครับ....

Thursday, May 18, 2017

ว่าด้วยเรื่องหนังสือเดินทาง

Google ปฏิทินแจ้งเตือนมาว่า "หนังสือเดินทางเหลืออายุแค่ ๖ เดือน ในวัน พฤ. 18 พ.ค. 2017" เป็นอันว่าต่อไปจะใช้เดินทางไปต่างประเทศไม่ได้แล้วเป็นส่วนใหญ่ ลาวก็ไปไม่ได้ จะมีก็แค่กัมพูชาที่ยังกำหนดอายุหนังสือเดินทางไว้อย่างน้อย ๔ เดือน... 

ผมเคยถือหนังสือเดินทางมาแล้วรวมทั้งหมด ๖ ฉบับ เล่มที่เห็นในภาพมีขนาดใหญ่กว่าเพื่อน และมีรอยตัดตรงมุมนั้นเป็นเล่มที่ ๒...


สำหรับหนังสือเดินทางเล่มแรกนั้นทางการได้ยึดคืนไปแล้วเมื่อมันหมดอายุและติดต่อทำเล่มใหม่ จำได้ว่าตอนทำหนังสือเดินทางเล่มแรกนั้นยากลำบากมาก ผมต้องไปติดต่อที่ทำการอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นอาคารไม้สองชั้นอยู่หน้าเรือนจำ สำหรับผู้ชายก็ต้องมีหลักฐานเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารไปแสดงด้วย...


ยื่นรูปถ่าย เอกสาร ค่าธรรมเนียมให้เจ้าหน้าที่แล้วต้องรอเป็นเดือนครับกว่าจะได้หนังสือเดินทางเล่มแรกมาถือไว้ ผมใช้แค่เดินทางไปพม่า-บังกลาเทศ-อินเดีย


ในภาพจะเห็นหนังสือเดินทางเล่มแรกซึ่งวางไว้ใกล้กับหนังสือ Across Asia on the Cheap ของ Lonely Planet....


ตอนทำหนังสือเดินทางฉบับที่ ๒ ผมจำไม่ได้ว่าทำที่ไหน รู้แต่ว่าเค้าออกให้เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗ หมดอายุเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒ เล่มนี้รับงานหนักหน่อย ผมใช้เดินทางไปปากีสถาน ยุโรป ออสเตรเลีย และประเทศเพื่อนบ้าน หมดอายุเมื่อครบ ๕ ปีก็ยังสามารถไปต่ออายุได้อีก ๕ ปี ถึงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๗...



หลังจากนั้นรู้สึกว่าการทำหนังสือเดินทางก็ง่ายขึ้น มีหน่วยบริการเคลื่อนที่มาตั้งทำหนังสือเดินทางให้ในต่างจังหวัด ที่ลำปางผมเคยทำ ๒ ครั้ง (ที่โรงเรียนบุญวาทย์และที่ว่าการอำเภอ) ช่วงหลังไปทำที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ จะเห็นได้ว่ารูปเล่มของหนังสือเดินทางตั้งแต่ฉบับที่ ๓ ถึง ๖ นั้นมีขนาดเล็กลง...

สรุปแล้วผมถือหนังสือเดินทางมาแล้วทั้งหมด ๖ ฉบับ รวมอายุใช้งานต่อเนื่องก็ ๓๕ ปี ฉบับล่าสุดซึ่งกำลังจะหมดอายุในอีก ๖ เดือนข้างหน้าก็อาจใช้เดินทางไปไหนไม่ได้อีก!

ถ้ายังอยากจะเดินทางไปต่างประเทศต่อ ก็ต้องทำหนังสือเดินทางอีกเล่ม และมันจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตอย่างแท้จริง!