Tuesday, January 22, 2013
เล่นเปียโนหากิน ๑
เคยเล่นดนตรีหาตังค์ใช้มานานกว่า ๓ ทศวรรษ...แต่ตอนนี้ผมเลิกแล้ว อิอิ เปลี่ยนมากดแป้นคอมพิวเตอร์แทนการเคาะคีย์เปีียโน...โดยตั้งใจว่าจะทำเว็บไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะตาย พอดีวันนี้มีคำถามจากเพื่อนสมาชิกเกี่ยวกับเรื่องของการเรียนเปียโน ผมจึงขออนุญาตนำมาตอบใน"บล็อกช่างเหอะ" เผื่อว่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้สนใจอยากประกอบอาชีพเป็นนักเล่นเปียโนอย่างผมบ้าง...
คำถาม - จะประเมินว่าเราเรียนเปียโนแล้วมีความเข้าใจ เกิดการเรียนรู้ วัดจากอะไร?
คำตอบ - ตามความคิดของผม การที่จะวัดว่าเรามีความเข้าใจและได้เรียนรู้จากการเรียนเปียโน ก็คือ เมื่อไปหยิบโน้ตเพลงอื่น (ยากง่ายอยู่ในระดับเดียวกัน) มาลองซ้อมด้วยตนเอง แล้วสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องพึ่งครูผู้สอน
คำถาม - เพลงที่เรียนผ่านมาแล้วทิ้งไว้ไม่นาน ก็เล่นไม่ได้แล้ว แสดงว่าเรายังไม่ได้เข้าใจเพลงเลยหรือเปล่า?
คำตอบ - ตามปกติเพลงที่ผมเล่นได้แล้วทิ้งไปนาน เมื่อนำกลับมาเล่นอีกครั้ง ก็ยังพอจะเล่นได้ แม้ไม่คล่องเหมือนเดิม แต่เมื่อได้ทบทวนอีกสักหน่อยก็จะฟื้นได้อย่างรวดเร็ว หากเป็นเพลงง่าย ๆ สมัยเริ่มเรียน ถ้าได้ย้อนกลับไปดู...อาจเห็นว่าเป็นของกล้วย ๆ ไปเลย
คำว่า "เล่นไม่ได้แล้ว" น่าจะหมายถึงเล่นได้ไม่คล่อง(เหมือนตอนที่เรียน)มากกว่า ผมคิดว่าถ้าเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ ก็ต้องสามารถฟื้นได้โดยใช้เวลาไม่นาน (คงไม่ใช่ completely blank)
คำถาม - สมมุติว่าเพลง ๆ หนึ่งยาวแค่ห้องเดียว ก่อนจะเล่นเราควรหาให้ได้ก่อนหรือเปล่าว่ามันเป็นคอร์ดอะไร แล้วหา block chord ที่สัมพันธ์กับรูปมือ แต่แน่นอนว่า โน้ตในห้องนั้นย่อมมีตัว passing note ที่ไม่ได้เป็นตัวโน้ตใน chord อยู่บ้างก็ได้ ที่แล้ว ๆ มาก็พยายามแต่จะจำเพลงให้ได้ หรือเป็นแค่ finger memory คือทำให้เรามีความเคยชินกับสัมผัส (เหมือนพิมพ์ดีดแบบสัมผัส) พอเปลี่ยนเพลงก็ต้องมาจำกันใหม่...
คำตอบ - ผมคิดว่าจำอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจในองค์ประกอบทั้งหมด แล้วนำไปฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ ตัวเลขที่มีให้นั้นเป็นแค่การแนะนำให้ใช้นิ้วที่เหมาะสม ต้องหัดอ่านที่ตัวโน้ต มิใช่ที่ตัวเลข มิฉะนั้นจะเป็นเพียงแค่การพิมพ์ดีดแบบสัมผัส
คำถาม - ทำไมเราไม่หัดจับ chord หรือพวก broken chord และไล่ scale ให้มากกว่าเล่นเพลง?
คำตอบ - นักเรียนเปียโนคลาสสิกต้องฝึกเล่นเสกลหนักกว่าเล่นเพลงเสียอีก แต่สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ การฝึกเล่นเพลงก็เป็นการฝึกหัดจับคอร์ดและเล่นเสกลไปในตัวแล้วครับ
คำถาม - เคยไปยื่นดูนักเปียโนในห้างเซ็นทรัลชิดลม คนเล่นอายุไม่มากเลย ตัวโน้ตไม่ได้เยอะ มีเพียง melody กับชื่อ chord เท่านั้นเอง แต่เสียงที่เล่นออกมานั้น accom มีเสียงประสานครบ แสดงว่าคนเล่นมีความเข้าใน chord, scale, key รู้ว่าจะเล่นอะไรเพิ่มเติมใช่ไหม?
คำตอบ - ถูกต้องครับ และถ้าจะให้ดีกว่านั้น...ควรเล่นโดยไม่ต้องอาศัยโน้ต ให้พยายามจำเพลงให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าเป็นนักร้องก็ต้องจำเนื้อเพลงให้ได้มาก ๆ
คำถาม - ผมมีความเข้าใจว่าจะเพิ่มโน้ตอะไรให้เสียงประสาน แต่ต้องเขียนออกมาก่อน จะต้องซ้อมยังไงครับ จึงจะสามารถเล่นแบบ improvise ได้ ตอนนี้เหมือนผมบวก 1+1 = 2 แต่ผมต้องหากระดาษมาทดก่อน อยากเล่นออกมาได้เลย...จะทำอย่างไร?
คำตอบ - คงต้องใช้เวลาหน่อยครับ เพราะจะต้องอาศัยประสบการณ์ซึ่งสั่งสมได้เรื่อย ๆ จากการทดลองปฏิบัติ จากการดูการฟัง และหาผู้ชี้แนะ ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัตินอกกรอบให้เกิดความแตกฉาน รวมทั้งฝึกเล่น "เพลงครู" ให้เชี่ยวชาญ
คำถาม - ทั้งหมดนี้เป็นแนวการเรียนรู้ที่ต่างจากแนว classic ที่ผมเรียนมาเลยใช่ไหม?
คำตอบ - ไม่ว่าจะเรียนเปียโนแนวไหน...ก็ต้องเรียนรู้ด้านพื้นฐานเหมือนกันหมด จากนั้นก็ค่อยแยกไปฝึกในแนวที่ปรารถนา ในกรณีอายุมากแล้วและอยากมีความสุขกับการเล่นเปียโน ตำราของ Alfred ใช้ได้เลยครับ แต่อย่าฝึกให้แค่เล่นเพลงได้เพียงอย่างเดียว ต้องศึกษาทฤษฎีและแบบฝึกหัดซึ่งถูกวางไว้เป็นอย่างดีจนเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้
คำถาม - ผมจับประเด็นได้ว่า ถ้าผมมีทางเดิน chord อย่างเ่ช่น C-Dm-G7-C แล้วผมก็ซ้อมไปตามนี้โดยเล่นเป็นตัวโน้ตแต่ละตัวไปตามแต่ละ chord ถ้าผมซ้อมบ่อย ๆ ก็จะ improvise ได้ เป็นการเดินถูกทางหรือไม่?
คำตอบ - ถูกต้องครับ เค้าถึงได้มีตำราอย่างของ Jamey Aebersold มากมาย สำหรับผู้ที่อยากจะฝึกแจ๊สเปียโน
ขอบคุณที่ให้เกียรติสอบถามครับผม
Monday, January 14, 2013
ซ่อมสวิตช์อัตโนมัติ...
เนื่องจากแรงดันในถังสำรองน้ำ (1) ลดลง ตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงมอเตอร์ทำงานประมาณ ๒-๓ วินาทีแล้วหยุดเป็นระยะ ๆ...น่ารำคาญและเปลืองไฟด้วยครับ!
วันนี้มีสาเหตุทำให้ต้องไต่หลังคาห้องน้ำขึ้นไปดู ผมเห็นน้ำหยดติ๋ง ๆ จากบริเวณถังสำรอง (1) ลงไปตามท่อพีวีซีขนาด ๑ นิ้วที่เห็น มันรั่วตรงจุดที่ปลายท่อ(พลาสติกสีดำ)ชุดสวิตช์อัตโนมัติถูกขันเข้าในท่อต่อเกลียวในขนาด ๑ นิ้ว (2) คิดว่ามันอาจจะขันไม่แน่น...ผมใช้มือจับถังสำรองน้ำ (1) แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกา "ก๊อบ"...หักหลุดออกมาเลย! มอเตอร์ทำงานทันที...ดันน้ำให้พุ่งออกมาจากปลายท่อที่ัหัก (2) ผมต้องใช้วิชาตัวเบา...กระโดดไปบนหลังคาสังกะสี เพื่อลงไปปิดสวิตช์อย่างไม่รอช้า! จากนั้นก็กลับขึ้นมาหาวิธีซ่อมตามประสา "ช่างเหอะ"...
งั่ม ๆ ถ้าจะซื้อมาเปลี่ยนทั้งชุดก็หลายตังค์ ค่าแรงวันละ ๓๐๐ บาทเอาไม่อยู่แน่นอน ตัวสวิตช์อัตโนมัติ (3) ก็เพิ่งเปลี่ยนได้ไม่นานนี้เอง (เคยเขียนถึงแล้ว)
"ช่างเหอะ" บึ่งแมงกะไซค์ไปห้างไทวัสดุ ซื้อ "ข้อต่อตรงเกลียวนอก" ขนาด ๖ หุนมา ๑ ตัว (๓ บาท) และท่อลด 1"-3/4" อีก ๑ ตัว (๔.๕๐ บาท) สองอย่างเองครับ...น้ำยาประสานท่อไม่ต้องซื้อ เพราะที่เหลือเก็บไว้ในตู้เย็นยังใช้ได้อยู่ เอาล่ะ... เมื่อได้อะไหล่แล้ว เรามาลงมือซ่อมกันเลย
ลองเทียบดูซิว่าข้อต่อเกลียวนอกจะใช้กับรูท่อที่หักได้ไหม? ว้าว! แจ๋วเลย ผมใช้กระดาษทรายลูบ ๒-๓ รอบ (เอาเคล็ด..โดยไม่ต้องเสกคาถา) แล้วทาน้ำยาประสานลงบนเกลียวและรูท่อพลาสติกสีดำ จากนั้นก็หมุนและดันเจ้าข้อต่อตรงเกลียวนอกเข้าไป... ฮึด!
นี่ไง...เรียบโร้ย! เชื่อมสนิท ไม่มีรูรั่ว! เอาวางไว้ก่อน หันไปคว้าเลื่อยมาตัดท่อ ๑ นิ้วออก เอาส่วนที่เป็นข้อต่อเกลียวในซึ่งมีปลายท่อพลาสติกดำหักคาอยู่ทิ้งไป...
นำท่อลด 1"-3/4" ที่ซื้อมาต่อเข้าไปโดยใช้น้ำยาประสาน....
หาเศษท่อขนาด 3/4" หรือ 6 หุนมาตัดใส่อย่างเนี้ย....
แล้วนำเจ้าตัวที่ทำเตรียมไว้แล้วเข้าสวม (ใช้น้ำยาประสานท่อทุกขั้นตอน)
เสร็จแล้วจ้า! แน่นสนิท..ปราศจากรอยรั่ว! ต่อสายไฟเข้าอย่างเดิมแล้วครอบด้วยลังพลาสติกให้เรียบร้อย ผมลงไปเปิดสวิตช์ เจ้าปั้มน้ำอัตโนมัติกลับมาทำงานได้ตามปกติ ไม่มีอาการลักปิดลักเปิดอีกเลย...
งานนี้แทนที่จะเสียเงินไม่ต่ำกว่า ๔๐๐ บาท "ช่างเหอะ" ชุบชีวิตเจ้าสวิตช์อัตโนมัติโดยใช้งบประมาณไม่ถึง ๑๐ บาทเองคร้าบ...
Location:
ทวีปเอเชีย
Sunday, January 06, 2013
Lens cap
จริงด้วยสิ! หายนะไม่บังเกิดในวันสิ้นโลก มันทำให้ผมมีโอกาสได้แบกเป้ไปลาวอย่างมีความสุข ถึงกระนั้น....ผมก็ยังพยายามคิดอยู่ว่า ทริปครั้งล่าสุดนี้ มีอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจบ้าง?
งั่ม ๆ มีอยู่อย่างเดียวจริง ๆ จะว่าเป็นหายนะ (เล็ก ๆ)ที่เกิดขึ้นในเวียงจันทน์ก็ว่าได้ (อิอิ) นึกแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเล่า เพราะอายคุณเมธี!
ไม่ว่าจะเป็นทริปใด...มักจะมีเหตุที่ทำให้ผมต้องเสียใจทุกครั้งไป ใน Calcutta ผมโดนแขกหลอกเอาเจ้า Rollei 35 ไปถึงกับน้ำตาร่วง! ไปเวียดนามเจ้า Canon ก็มีอันเป็นไปซะก่อน ทำให้อดถ่ายรูปในช่วงหลัง ไปมาเลเซียก็ดันไปลืมกางเกงขาสั้นไว้ที่ hostel ใน KL ฯลฯ การเดินทางที่ผ่านมา...ผมจึงพยายามสุด ๆ ที่จะไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดี
วันนั้น...ไปถึงเวียงจันทน์ก่อนเที่ยง พอได้ที่พักเรียบร้อย ผมก็ออกเดินเที่ยวด้วยความสบายใจ ผมไปชมบรรยากาศริมโขงตอนแดดเปรี้ยง จากนั้นก็เดินเที่ยววัดต่อ
ยักษ์ (ไม่รู้ว่าเป็นญาติกับยักษ์วัดแจ้งหรือเปล่า?) ส่งสายตาอนุญาตให้ผมเดินเข้าไปเที่ยวข้างในได้...
D50 ทำหน้าที่บันทึกภาพเป็นระยะ ๆ....
เข้าไปในโบสถ์แล้วกลับออกมา...ผมเดินไปดูการละเล่นของเด็กนักเรียนและถ่ายภาพเก็บไว้
บันทึกภาพเสร็จ...ผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาฝาปิดหน้าเลนส์ (lens cap) ตายล่ะหว่า! มันหายไปแล้ว!! ในความมืด...ผมจินตนาการเห็นใบหน้าของคุณเมธีแสยะยิ้ม...มองมาด้วยสายตาเย้ยเยาะ! ผมรีบเดินกลับไปหาในโบสถ์...ไม่มี! เดินย้อนกลับไปทางเก่า มองหาตามพื้นถนน...ไร้เงา!! ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น นับเป็นความผิดพลาดที่อยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ!
เมื่อได้กลับถึงบ้านที่ลำปาง ผมเข้าไปค้นหาตามเว็บว่าพอจะหาซื้อเจ้าฝานั่นได้หรือเปล่า รู้สึกโล่งใจที่เห็นมีประกาศขายเยอะแยะ ในราคาตั้งแต่ ๑๒๐ - ๒๐๐ บาท "ต้องรีบสั่งซื้อ" ผมคิดในใจ! แต่แล้วความคิดก็แว๊บขึ้นในสมองว่ามีกล้องฟิล์มที่ใช้เลนส์ซูมซึ่งมีผาปิดอยู่นี่นา ผมรีบกระชากลากตัวเจ้า Canon ออกมาจากลิ้นชัก....
ลองเอาฝาปิดหน้าเลนส์มาใส่ให้เจ้า D50 ว้าว! ใส่ได้พอดีเลย เพีียงแต่มันไม่มีคำว่า Nikon ติดอยู่เท่านั้น!
ผมเก็บเจ้า AE-1 ใส่ถุงไว้ซะเลย...
วันนี้คุยเรื่องกล้องถ่ายรูป จึงอยากจะแถมท้ายด้วยการนำภาพถ่ายชนะเลิศ "National Geographic" ปี 2012 มาฝากให้เพื่อน ๆ ได้ดูด้วยครับ...
งั่ม ๆ มีอยู่อย่างเดียวจริง ๆ จะว่าเป็นหายนะ (เล็ก ๆ)ที่เกิดขึ้นในเวียงจันทน์ก็ว่าได้ (อิอิ) นึกแล้วก็ไม่ค่อยอยากจะเล่า เพราะอายคุณเมธี!
ไม่ว่าจะเป็นทริปใด...มักจะมีเหตุที่ทำให้ผมต้องเสียใจทุกครั้งไป ใน Calcutta ผมโดนแขกหลอกเอาเจ้า Rollei 35 ไปถึงกับน้ำตาร่วง! ไปเวียดนามเจ้า Canon ก็มีอันเป็นไปซะก่อน ทำให้อดถ่ายรูปในช่วงหลัง ไปมาเลเซียก็ดันไปลืมกางเกงขาสั้นไว้ที่ hostel ใน KL ฯลฯ การเดินทางที่ผ่านมา...ผมจึงพยายามสุด ๆ ที่จะไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดี
วันนั้น...ไปถึงเวียงจันทน์ก่อนเที่ยง พอได้ที่พักเรียบร้อย ผมก็ออกเดินเที่ยวด้วยความสบายใจ ผมไปชมบรรยากาศริมโขงตอนแดดเปรี้ยง จากนั้นก็เดินเที่ยววัดต่อ
ยักษ์ (ไม่รู้ว่าเป็นญาติกับยักษ์วัดแจ้งหรือเปล่า?) ส่งสายตาอนุญาตให้ผมเดินเข้าไปเที่ยวข้างในได้...
D50 ทำหน้าที่บันทึกภาพเป็นระยะ ๆ....
เข้าไปในโบสถ์แล้วกลับออกมา...ผมเดินไปดูการละเล่นของเด็กนักเรียนและถ่ายภาพเก็บไว้
บันทึกภาพเสร็จ...ผมก็ล้วงกระเป๋ากางเกงควานหาฝาปิดหน้าเลนส์ (lens cap) ตายล่ะหว่า! มันหายไปแล้ว!! ในความมืด...ผมจินตนาการเห็นใบหน้าของคุณเมธีแสยะยิ้ม...มองมาด้วยสายตาเย้ยเยาะ! ผมรีบเดินกลับไปหาในโบสถ์...ไม่มี! เดินย้อนกลับไปทางเก่า มองหาตามพื้นถนน...ไร้เงา!! ผมรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น นับเป็นความผิดพลาดที่อยากจะเขกหัวตัวเองแรง ๆ!
เมื่อได้กลับถึงบ้านที่ลำปาง ผมเข้าไปค้นหาตามเว็บว่าพอจะหาซื้อเจ้าฝานั่นได้หรือเปล่า รู้สึกโล่งใจที่เห็นมีประกาศขายเยอะแยะ ในราคาตั้งแต่ ๑๒๐ - ๒๐๐ บาท "ต้องรีบสั่งซื้อ" ผมคิดในใจ! แต่แล้วความคิดก็แว๊บขึ้นในสมองว่ามีกล้องฟิล์มที่ใช้เลนส์ซูมซึ่งมีผาปิดอยู่นี่นา ผมรีบกระชากลากตัวเจ้า Canon ออกมาจากลิ้นชัก....
ลองเอาฝาปิดหน้าเลนส์มาใส่ให้เจ้า D50 ว้าว! ใส่ได้พอดีเลย เพีียงแต่มันไม่มีคำว่า Nikon ติดอยู่เท่านั้น!
ผมเก็บเจ้า AE-1 ใส่ถุงไว้ซะเลย...
วันนี้คุยเรื่องกล้องถ่ายรูป จึงอยากจะแถมท้ายด้วยการนำภาพถ่ายชนะเลิศ "National Geographic" ปี 2012 มาฝากให้เพื่อน ๆ ได้ดูด้วยครับ...
รางวัลชนะเลิศ "บุษบา" เสือโคร่งจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว ถ่ายโดย แอชลีย์ วินเซนต์ |
รางวัลที่ ๑ สาขาสถานที่ "The Matterhorn" ภูเขาในสวิตเซอร์แลนด์ คืนพระจันทร์เต็มดวง |
รางวัลที่ ๑ สาขาบุคคล "Amongst the Scavengers" ภาพหญิงเคนยาบนกองขยะ ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์ |
จะมีครั้งไหนบ้างที่ผมไม่ได้ทำอะไรหายเลย?
Saturday, January 05, 2013
ซ่อมเครื่องชงกาแฟ
อาสาที่จะซ่อมเครื่องชงกาแฟให้ผู้ปกครองของนักเรียนเปียโน...ผมนำมันใส่แมงกะไซค์กลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว บ่ายวันนี้ผมเดินไปเจอกล่องซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ...อดสงสัยไม่ได้ว่าใครเอาอะไรมาให้!
โธ่ ! ไม่น่าลืมเลย!! ผมคิดขึ้นมาได้ว่านั่นคือกล่องเครื่องชงกาแฟที่อาสาจะซ่อมให้ ไม่เคยใช้เครื่องชงกาแฟแบบนี้มาก่อน...จึงต้องศึกษาวิธีใช้งานก่อนเป็นอันดับแรก ผมได้รับคำบอกมาว่า "น้ำไม่ขึ้น" ทีแรกก็คิดว่ามันน่าจะมีปั้มน้ำตัวเล็ก ๆ และอาจเสียตรงนั้นก็ได้!
ที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ"กากาแฟ" ซึ่งแตกง่าย ยังไง ๆ ก็ต้องรีีบนำออกไปตั้งไว้ไกล ๆ ก่อน จากนั้นก็ทดลองใส่น้ำลงไปแล้วเปิดสวิช ผมไม่เห็นการเคลื่อนไหวของน้ำไปตามท่อเลย ต้องรีบปิดสวิชทันทีเพราะเกรงว่าเครื่องจะพัง ใ่ช่เลย! น้ำไม่ขึ้นจริง ๆ
ด้วยความไม่รู้...ผมเผลอเอานิ้วหัวแม่มือข้างขวาไปแตะจานโลหะที่ตั้งกากาแฟ จ๊าก! มันร้อนเหมือนกับเอานิ้วไปสัมผัสกะทะร้อน ๆ พองเลย! สำหรับบทเรียนวันนี้ ผมเทน้ำออก นำผ้าชุบน้ำมาเช็ดบริเวณที่วางกา จากนั้นก็เริ่มศึกษาการทำงานของมัน วิธีเดียวคือ...ต้องรื้อออกมาดู ข้างใต้มีสกรูตัวเล็ก ๆ ยึดอยู่ ๓ ตัว (ดันมีหัวไม่เหมือนใครซะอีก) จะใช้ไขควงหัวแฉกขันก็ไม่ได้...หัวแบนก็ไม่ได้ (ไม่รู้ว่าออกแบบมาทำำไมอย่างเนี้ย)
ช่างเหอะต้องใช้ไขควงซ่อมนาฺฬิกา ค่อย ๆ คลายสกรูออกมาจนได้...
อ่อ! ไม่มีปั้มตัวเล็ก มีแค่ heater อยู่ข้างใต้ ผมลงมือศึกษาการทำงานของเครื่องแล้วเขียนลงบนกระดาษด้วยฝีมือระดับด๊อกน้อทอีททันที
สาเหตุคือ น้ำใน container มันไม่ไหลลงไปยัง heater
ผมดึงปลายสายท่อซึ่งต่อเข้ากับท่อของตัวทำความร้อนออก นำเข้าปากแล้วดูดอย่างแรง "ปุด" เสียงลมวิ่งผ่านรูเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ก้น container อ่า...หายอุดตันแย้ว! ผมทำเช่นนั้นกับปลายท่อที่ดึงน้ำขึ้นข้างบน แต่ใช้วิธีเป่า ด้านนี้ไม่มีปัญหา จากนั้นก็ ประกอบชิ้นส่วนกลับเข้าที่ เติมน้ำลงใน container อีกครั้ง นำกาขึ้นตั้งแล้วเปิดสวิช...
เกิดเสียงดัง "คร๊อก ๆ" คล้ายคนนอนกรน ผมเห็นน้ำร้อนไหลลงสู่กากาแฟ...
เจ้า KASSEL ทำงานตามปกติแล้ว!
เสียดายที่ไม่มีผงกาแฟ ไม่งั้นจะชงกาแฟสดร้อน ๆ หอม ๆ ดื่มซักถ้วย!
Friday, January 04, 2013
สิ่งที่ต้องทำ...หลังจากการแบกเป้ท่องเที่ยว
หลังจากแบกเป้ท่องเที่ยวเมืองลาวได้กว่า ๑ สัปดาห์...ผมก็เดินทางกลับถึงบ้าน จำได้ว่าเคยเขียนไว้เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ ว่า ผมเลือกเป้ใบเก่า เพราะต้องการใช้บรรจุของให้ได้เต็มพิกัด เหมือนตอนไปเที่ยวลาวและเวียดนาม เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
วันรุ่งขึ้นมีสิ่งที่จะต้องทำคือ การนำถุึงนอนและข้าวของออกจากเป้ให้หมด เพื่อจะได้นำเสื้อผ้าเหม็น ๆ ออกไปซัก เอกสารสำคัญอย่างเช่น หนังสือเดินทาง เงินที่เหลือใช้ หนังสือ และสมุดบันทึก ก็ต้องนำออกแยกเก็บเข้าที่...
ล้วงเอาแผ่นกระดาษออกจากเป้ให้หมด ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ ตั๋วรถ ตั๋วเรือ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ตลอดจนสลิปจากร้านค้า จะได้รวบรวมไว้เป็น souvenir (อิอิ) สำหรับกล้องถ่ายรูปและ net book ก็ต้องรีบนำออกมาเช็ดทำความสะอาด SD card ก็อย่าลืมนำไปถ่ายข้อมูลลงคอมพ์ฯ เสียให้เรียบร้อย
จากนั้นก็ให้รูดซิปเปิดกระเป๋าเป้ทุก ๆ ใบ กลับเป้เอาด้านบนลงล่าง(upside down)...แล้วเขย่า ๆๆๆ เพื่อให้เศษดินเศษผงร่วงออกมา
ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ นำไปตากแดด
พร้อมกับถุงนอนซึ่งรูดซิปกลับเอาด้านในออก...
ตอนเย็นอย่าลืมเก็บนะครับ ถุงนอนก็ให้ม้วนเก็บลงถุงเหมือนเดิม ส่วนเป้ก็รูดซิป ล็อคสายรัด แล้วนำไปแขวนไว้ในที่ของมัน ถึงเวลาจะได้นำออกไปใช้ได้ทันที
แล้วเมื่อไหร่จะได้แบกเป้อีกล่ะ? ยิ่งปีนี้จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงซะด้วย เจ้าแรด (ชื่อเป้) คงจะต้องรอเก้อไปอีกนาน...
Thursday, January 03, 2013
ซ่อมแว่นตาประสาช่างเหอะ
ตั้งแต่วันที่ ๒๓ ธันวาคม ปีที่แล้ว ถึงคืนวันพุธที่ ๒ มกราคมที่ผ่านมา ผมเดินทางแบกเป้ไปเที่ยวเชียงของ-หลวงพระบาง-วังเวียง-เวียงจันทน์ ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้นประมาณ ๔,๕๐๐ บาท เป็นการเดินทางอย่างประหยัดแต่ก็ได้ประโยชน์สุด ผมตั้งใจว่าจะนำเทคนิคและขัอมูลซึ่งแตกต่างกับที่มีในเว็บอื่น ๆ มาเขียนไว้ใน"บล็อกช่างเหอะ" ในลำดับต่อไป
แต่วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่อง "การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า" ตามสไตล์ช่างเหอะก่อนนะครับ กล่าวคือ...ผมเป็นคนสายตาสั้นมาก ๆ หลังจากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาแล้วก็ยังคงต้องสวมแว่นตาอยู่เป็นประจำ ไปเมืองลาวครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ที่รองจมูกของเจ้ากรอบแว่นตาราคาถูกของผมเกิดหักขึ้นมา...
ที่รองจมูกตัวที่หักคือตัวด้านขวามือ พอปราศจากแผ่นซิลิโคน (1) เหลือแต่ปลายโลหะ (2) มันก็ทิ่มแทงเนื้อจมูกบริเวณที่เคยสัมผัสกับแผ่นรองจมูก ทำให้รู้สึกเจ็บ! ถ้าเป็นเมืองใหญ่ ๆ ผมก็คงนำไปซ่อมที่ร้านแว่นตา แต่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างหลวงพระบางหรือวังเวียง (แม้แต่เวียงจันทน์) ความหวังที่จะหาอะไหล่นั้นไม่มีจริง ๆ แล้วผมจะทำอย่างไรดีถึงจะมีแว่นตาสวม!
ถ้าเป็นเพื่อน ๆ จะทำอย่างไรครับ? สำหรับ "ช่างเหอะ" มีวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าดังนี้...
บนฝากระป๋องแป้ง มีแผ่น sticker ติดอยู่ ผมแกะออกมา ด้านหนึ่งเป็นกาวเหนียว ผมฉีกให้คล้ายเทปพันสายไฟ แล้วค่อย ๆ บรรจงพันรอบปลายโลหะ เำพื่อลดความแหลมคม (ดังที่เห็นในภาพ)
ยังใช้ไม่ได้ครับ จะต้องมีอะไรมาทำหน้าที่แทนซิลิโคนแผ่นรองจมูก ผมมองรอบตัว...เห็นการ์ดใบเล็ก ๆ ซึ่งวัดในพม่าแห่งหนึ่งคล้องติดให้ไว้กับกล้องถ่ายรูป เมื่อผมได้ชำระค่าธรรมเนียมใช้กล้องถ่ายรูปแล้ว....
มียางรัดถุงคล้องไว้ ผมแกะออก แล้วนำไปพันทับ sticker ซึ่งหุ้มห่อปลายโลหะไว้อีกที
เสร็จแล้วลองนำแว่นขึ้นสวม ปรากฏว่าใช้ได้ ผมสามารถสวมแว่นได้ตามปกติ ไม่เจ็บเพราะถูกเหล็กทิ่มตำอีกต่อไป...
ผมท่องเที่ยวต่อไปได้โดยไม่มีปัญหาเรื่องแว่นตา จนถึงวันที่เดินทางกลับเข้าบ้านที่ลำปาง
หุหุ ถึงวันนี้ก็ยังใช้ต่อไป ยังไม่มีโอกาสนำแว่นตาไปให้ร้านซ่อม!
Subscribe to:
Posts (Atom)