Friday, August 10, 2012

กาแฟเวียดนาม

ต้องยอมรับว่าผมไปปล่อยไก่เกี่ยวกับเรื่องกาแฟไว้ตัวเบ้อเริ่มที่เวียดนาม!  เสียชื่อที่เป็นลูกของพ่อประเสริฐแม่ปราณี เจ้าของร้านกาแฟ "ไทยประเสริฐ" ถนนเจริญเมืองและถนนทุ่งโฮเต็ล จังหวัดเชียงใหม่ และตัวเองก็เคยเปิดร้านกาแฟสดอยู่ที่ลำปาง!



๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ เป็นวันที่สามที่ผมใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองซาปา ประเทศเวียดนามอย่างมีความสุข ช่วงเช้าผมได้ไปเที่ยวภูเขา Ham Rong ส่วนช่วงบ่าย..ผมก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ เดินชมเมืองซาปาอีกครั้ง

ต่างกับเมื่อสองวันก่อนที่เมืองทั้งเมืองถูกบดบังด้วยม่านหมอก...วันนี้ฟ้าเปิด!


ช่วงเย็นผมเดินผ่านร้านอาหาร Vegetarian ซึ่งอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง (ไม่ไกลจากที่พัก) จึงได้ตัดสินใจที่จะกินอาหารเย็นที่นั่น พอเดินผ่านประตูเข้าไป ผมก็เห็นบาร์...มีถ้วยกาแฟวางซ้อนกันอยู่บนเค้าเตอร์ ดูแล้วก็คล้าย ๆ กับเค้าเตอร์บาร์ที่บ้านลุงน้ำชา


ผมเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ กับประตูทางเข้า


ที่ผมสั่งคือ ข้าวผัดผัก (Vegetable Fried Rice)  และ "กาแฟเวียดนาม"



หนุ่มเวียดนำกาแฟมาเสริฟ...ผมถ่ายรูปเก็บไว้บานนึง!



ที่อยากจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ  "กาแฟเวียดนาม" และประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่มีถ้วยกาแฟลักษณะอย่างที่เห็นมาวางอยู่เบื้องหน้า


อยู่เวียดนามมาแล้วตั้ง ๓ วัน....ผมยังไม่รู้วิธีดื่ม "กาแฟเวียดนาม" อีก!  ช่างน่าอับอายยิ่งนัก อิอิ  กินข้าวผัดซึ่งแสนจะไม่อร่อยจนหมดจาน  ผมก็หันไปหาถ้วยกาแฟ  เอ๊ะ...กินยังไงเนี่ย?  ความไม่รู้ทำให้ผมปล่อยไก่ออกมาตัวใหญ่...ผมถามหาน้ำตาล!!

"ปัดโธ่!! ไม่รู้เลยหรือว่าเนี่ยมันกาแฟเวียดนาม"...บริกรคนนั้นอาจจะคิดและหัวเราะอยู่ในใจ!

ผมถึงบางอ้อ...เมื่อหนุ่มเวียดหยิบฝาสแตนเลสซึ่งปิดอยู่ข้างบน หงายลงกับพื้นโต๊ะ  แล้วบรรจงหยิบถ้วยสแตนเลสบนถ้วยกาแฟนำไปวางไว้บนฝานั่น...


ผมถึงได้รู้ความจริงว่า เค้าใส่นมข้นไว้ในถ้วยกาแฟ...ก่อนที่จะวางถ้วยสแตนเลสซึ่งใส่ผงกาแฟและน้ำร้อนไว้ข้างบน ช่วงที่ผมกำลังกล้ำกลืนฝืนกินข้าวผัด น้ำร้อนก็จะค่อย ๆ ไหลผ่านผงกาแฟ หยดลงสู่ถ้วยกาแฟ

อืมมมม...ตอนนี้เพียงแค่ใช้ช้อนคนๆๆๆๆ "กาแฟเวียดนาม" ก็พร้อมให้ผมยกขึ้นลิ้มรสแล้ว!


รสชาติก็ยังงั้น ๆ แหละ ปกติผมชอบดื่มกาแฟหรือน้ำชาที่ค่อนข้างร้อนจัด(เหมือนคณแม่)  ความร้อนของกาแฟเวียดนามราคาถ้วยละ ๑ เหรียญ ยังไม่สูงพอที่จะทำให้ผมซดได้อย่างถึงอกถึงใจ...

เรื่องของ "กาแฟเวียดนาม" และการปล่อยไก่ของผมก็จบลงด้วยประการฉะนี้...

No comments: