Friday, March 18, 2011

เมื่อผมเล่นอีเลคโทนเพลงญี่ปุ่น…

มองไปข้างหลังบ้าน…ผมเห็นแสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ฟ้าเปิดแล้วครับ แต่อากาศยังหนาวเย็นอยู่ 

วันนี้มีโอกาสได้คุยกับท่านผู้พันมือ fiddle ทางโทรศัพท์ ท่านเป็นห่วงผมในเรื่องการทำมาหากิน แนะนำให้ทำเพลงหรือเขียนหนังสือไว้ขายในขณะเล่นดนตรีเปิดหมวก ผมคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดีและตรงกับที่ผมคิดไว้ แต่สิ่งที่ยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ก็คืออาการป่วยของพี่ชายซึ่งยังไม่มีท่าทางว่าจะดีขึ้นสักเท่าใด

พี่ชายผมก็ยังคงพอใจที่จะนอนอยู่บนเตียงวันละ ๒๒ ชั่วโมง  ทั้ง ๆ ที่เดินได้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมฝึกเดิน  พระเจ้าไม่ได้สร้างมนุษย์ให้ดำรงชีวิตในลักษณะกระดูกสันหลังขนานกับพื้น แต่พี่ชายผมจะอยู่ในตำแหน่งที่กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะ upright ก็เพียงเวลานั่งกินอาหารและเดินไปขับถ่่ายเท่านั้น  นับจากวันที่แกล้มป่วยจนถึงวันนี้…อีก ๕ เดือนก็จะครบ ๒ ปีที่แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ผมคล้ายกับถูกล่ามโซ่  ไม่สามารถไปไหนไกล ๆ ได้ตามที่หัวใจเรียกร้อง  วันนี้ผมยังคงแบกเป้เดินได้ไกล ๆ น่าจะได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ อย่างเช่นการเดินทางไปหาคุณอ้อที่สถานทูตไทยในกัลกัตต้า ประเทศอินเดีย (โอกาสดี ๆ เช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว) ค่าเครื่องบิน Air Asia ไป-กลับ กัวลาลัมเปอร์–นิวเดลี ในช่วงโปรโมชั่นก็ตกแค่ ๖ พันบาทเอง แต่ผมก็ทำไม่ได้!!!

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะผมไม่มีสตางค์นั่นเอง ถ้ามี…ผมคงจ้างคนมาดูแลพี่ชายในช่่วงที่ผมไม่อยู่ได้ ผมจะมีทุนรอนที่จะใช้ในการเดินทางและซื้ออุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัย  ทุกวันนี้ไม่มีความหวังเลยครับ ในแต่่ละเดือนผมต้องกินทุนสำรองไปเรื่อย ๆ เหมือนน้ำรั่วจากถัง อีกไม่นานมันก็จะแห้งเหือด อืมม์…ผมจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้แล้ว

ผมกำลังคิดหาทางออกด้วยการขายอาคารซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ถ้าขายได้ ผมก็มีเงินที่จะใช้ดูแลรักษาพี่ชายได้อย่างดีจนถึงวันตาย ตัวผมเองก็จะมีเงินซื้อของที่อยากได้ อย่างเช่น harddisk, notebook หรือไอพอดไอแพดอย่างที่เค้ากำลังนิยมกัน สามารถที่จะซื้อตั๋วบินไปโน่นไปนั่นตามที่วางแผนไว้ได้ และยังจะสอนฟรีเด็ก ๆ ได้อย่างเต็มร้อย…

ก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้สักเท่าไร แต่ในช่วงที่ฝนตกและบรรยากาศซึมเซา ผมมีโอกาสได้ใคร่ครวญ ถามตัวเองว่าจะเลี้ยงดูพี่ชายด้วยอาหารราคาถูกจากหน้าโรงงานไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ?  ผมสงสัยในสาเหตุที่พี่ชายของผมไม่ยอมลุกขึ้นฝึกเดิน?  คิดว่า…ถ้ามีเงินสัก ๑ ล้านให้ได้กำไว้ เค้าคงจะเปลี่ยนไป คงไม่อยากนอนนับวันนับคืนต่อไปเป็นแน่แท้!

แดดออกแล้ว!! ผมเริ่มมองเห็นแสงสว่าง…

ขอหยุดความคิดเรื่องอนาคตไว้ก่อน เล่าเรื่องเล่น electone ต่อดีกว่า…

เล่าถึงตอนที่ไปเล่นอีเลคโทนที่ The Boat จังหวัดชลบุรีแล้วใช่ไหมครับ?  คงจะดีไม่น้อยถ้าตอนนั้นผมอดทนทำงานอยู่ที่นั่นให้นาน ๆ แล้วเก็บเงินซื้ออาคารพาณิชย์ซึ่งมีให้เลือกมากมายไ้ว้สักห้องหนึ่ง ราคาก็ไม่แพงด้วยครับ อย่างเช่นแถวหน้าโรงไฟฟ้าบางประกง หรือบนถนนสุขุมวิทซึ่งยังเป็นแค่เพียงถนนสี่เลนมีร่องน้ำอยู่ตรงกลางอย่างที่เห็นในภาพ…

อุบัติเหตุบนถนนหลวงสายกรุงเทพ-ชลบุรีในอดีต
ผมไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันหรอกนะ แต่เท่าที่ดูจาก google earth ก็เห็นได้ว่าชลบุรีเปลี่ยนไปแบบสุด ๆ ถ้าตอนนั้นผมเป็นเจ้าของตึกแถวสักห้องหนึ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าปัจจุบันนี้จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นสักขนาดไหน แต่ก็นั่นแหละ..บางทีอาจไม่มีค่าอะไรเลยก็เป็นได้ หากต้องไปอยู่ใต้ทางด่วน หุหุ  ดีแล้วหละ…ที่ผมไม่ได้คิดลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไม่งั้นแล้วผมคงจะแย่แน่ ๆ เลย เนื่องจากอยู่ได้ไม่นาน ผมก็เกิดอาการนารีเป็นพิษ ทำให้ต้องเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ลาออกจาก The Boat แล้วกลับไปเช่าห้องอยู่ที่ซอยเอกมัยอีกครั้งนึง…

แต่ผมก็หางานใหม่ได้เร็ว อยู่ได้ไม่กี่วันผมก็ได้งานเล่น electone ที่ค็อกเทลเล้าจน์สำหรับชาวญี่ปุ่นบนถนนธนิยะ ผมจำชื่อได้ไม่แน่ชัด  (จึงขอไม่บอก เพราะกลัวผิด) บอกไม่ได้ว่าไปที่นั่นได้อย่างไร หรือใครแนะนำ  รู้แต่ว่าวันนั้นผมไป audition โดยเล่นอีเลคโทน Yamaha รุ่นเดียวกับของวิวัฒน์คอฟฟี่ซ๊อฟ ผมต้องบรรเลงเพลงญี่ปุ่นจาำกโน้ตเพลงที่มีในหนังสือให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นร้อง สมัยนั้นยังไ่ม่มีคาราโอเกะ บนเวทีจะมีโพเดียมตั้งอยู่ข้างหน้าอีเลคโทน มีไมโครโฟนและหนังสือเนื้อเพลงขนาดใหญ่วางอยู่บนโพเดียม ใครอยากร้องเพลงอะไร ก็ขึ้นไปเปิดหาเนื้อร้องก่อน จากนั้นก็หันมาบอกหมายเลขเพลงให้ผม อย่างเช่น “594”  ผมก็จะเปิดโน้ตเพลงหมายเลข 594 ซึ่งอยู่ในคีย์ G minor อย่างที่เห็นในภาพ แม้แต่ tempo ซึ่งไม่มีบอกไว้ ผมก็จะต้องเดาว่าควรตั้งจังหวะอะไรโดยอาศัยการอ่านจากทำนองเพลง อย่างเช่นเพลงที 594 ผมก็จะเลือกใช้จังหวะ slow rock  ตั้งเสร็จแล้วก็เริ่มเล่นอินโทรทันที มืดก็มืด โน้ตก็ตัวเล็ก มีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟดวงเล็ก ๆ เท่านั้น



คืนที่ไป audition ผมเล่นอีเลคโทนให้บรรดาสาว ๆ ร้องไม่กี่เพลง จากนั้นก็ร้องเพลง Tennessy Waltz เท่านั้นเอง…เจ้าของค็อกเทลเล้าจน์(คนญี่ปุ่น)ก็รับผมทันที ผมได้ค่าจ้างวันละ ๔๐๐ บาท โดยรับเป็นเงินสดทุก ๆ วันจากพี่แดง(ภรรยาคนไทยแต่พูดภาษาญี่ปุ่นน้ำไหลไฟดับ)  ผมทำงานสบาย ๆ เพราะกว่าลูกค้าจะเข้าก็ ๓-๔ ทุ่ม เที่ยงคืนก็ได้เลิกแล้ว…


ทุก ๆ คืนผมจะปั่นจักรยานจากซอยเอกมัยไปทำงานที่ธนิยะ โดยใช้เส้นทางผ่านตลาดคลองเตย ไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสีลม เ่ลิกงานแล้วผมก็ขี่กลับทางเดิม…

ผมบอกไม่ได้ว่าทำงานที่นั่นนานกี่เดือน แต่ที่จำได้ไม่เคยลืมก็คือเหตุการณ์ในคืนวันหนึ่ง เลิกงานแล้วผมกำลังจะปั่นจักรยาน(คันที่เห็นในภาพ)มุ่งหน้ากลับบ้าน สาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีขาวก็ขอเกาะท้ายไปซอยเอกมัยด้วย…

ผมพาซ้อนท้ายไปได้ยังไม่ทันถึงตลาดคลองเตย ก็ต้องหยุดรถอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชายกระโปรงของเธอเข้าไปขัดอยู่ในซี่ล้อรถ ไม่มีปัญหา…ช่วยดึงชายกระโปรงให้สูง ๆ หน่อยละกัน ผมพา “อาโนเนะจัง” ไปถึงที่พักจนได้!!!

จากนั้นอีก ไม่นาน อาการนารีเป็นพิษก็กำเริบอีกครั้ง ผมต้องลาจากที่ทำงานอันอบอุ่น  ออกจากกรุงเทพฯ แล้วไปเล่นอีเลคโทนที่วิวัฒน์คอฟฟี่ช๊อฟ จังหวัดอุตรดิตถ์อีกครั้งหนึ่ง…

งั่ม ๆ ยังไม่สิ้นสุดบทบาทการเป็นนักเล่นอีเลคโทนนะ  แล้วจะเล่าให้ฟังอีก  อย่าเพิ่งเบื่อก็แล้วกัน!!

No comments: