ถ้ามุ่งหน้าไปทางสะพานนครพิงค์สถานกงสุลอินเดียก็จะอยู่ทางซ้ายมือ เป็นบ้านธรรมดา ๆ นี่แหละ ไม่มีองไม่มีแอร์อะไร เจ้าหน้าที่ก็เหมือนกับเจ้าของบ้านใจดี เค้าออกวีซ่าให้อย่างง่ายดาย ผมแค่กรอกเอกสารแล้วยื่นให้พร้อมรูปถ่าย หนังสือเดินทาง และค่าธรรมเนียมไม่กี่ตังค์ รอรับได้เลย!! วันนี้อยากรู้ว่าถ้าจะไปอินเดียอีกครั้งผมจะต้องจ่ายค่าวีซ่าเท่าใด ปรากฏว่ามันพุ่งพรวดเป็น ๑,๗๐๐ บาท ส่วนสถานกงสุลอินเดียประจำจังหวัดเชียงใหม่ก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่บนถนนทุ่ง โฮเต็ล ก็ยังดี…ที่ยังสามารถยื่นขอวีซ่าไปอินเดียได้ที่เชียงใหม่
ผมลองค้นหาข้อมูลว่าที่เชียงใหม่เราจะขอวีซ่าไปประเทศไหนได้บ้าง พบได้ว่ามีอยู่ ๕ ประเทศคือ สหรัฐอเมริกา, จีน, ญี่ปุ่น, อินเดีย และออสเตรีย (เฉพาะที่ปรากฏ visa section และเวลาทำงาน) ส่วนกงสุลประเทศอื่นก็ยังมีอีก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเค้าจะออกวีซ่าให้ได้หรือเปล่า….
แต่ก่อนนั้นผมไปออสเตรเลีย ขอวีซ่าก็ไม่ต้องเสียตังค์ เข้าบังคลาเทศก็ไม่ต้องใช้วีซ่า แต่ปัจจุบันนี้เปลี่ยนไป…ออสเตรเลียเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่านักท่อง เที่ยว ๒,๒๐๐ บาท บังคลาเทศ ๑,๐๐๐ บาท งั่ม ๆ อะไร ๆ ก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายตังค์เพิ่ม!!
เพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการท่องเที่ยว มาลองค้นหาดูว่าคนไทยไปประเทศไหนโดยไม่ต้องใช้วีซ่าได้บ้างก็ได้ความ ว่า…คนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา (วีซ่า) เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ จำนวน ๑๙ ประเทศดังนี้:-
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ ๙๐ วันได้แก่ อาร์เจนตินา , บราซิล , ชิลี , เกาหลีใต้ และเปรู
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ ๓๐ วันได้แก่ ฮ่องกง , อินโดนีเซีย , ลาว , มาเก๊า , มองโกเลีย , มาเลเซีย , มัล ดีฟส์, รัสเซีย, สิงคโปร์,แอฟริกาใต้และเวียดนาม
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ ๒๑ วันได้แก่ ฟิลิปปินส์
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ ๑๕ วันได้แก่ บาห์เรน
ประเทศที่พำนักอยู่ได้ ๑๔ วันได้แก่ บรูไนฯ
แต่ก่อนถ้าไปเยอรมันและนิวซีแลนด์ไม่ต้องใช้วีซ่า เดี๋ยวนี้ถ้าจะกินไส้กรอกก็ต้องมี ๓,๔๕๐ บาท หรือหยอกกีวี่ก็ให้เตรียมไว้ ๔,๖๐๐ บาท
เพื่อน ๆ เลือกเอาเองนะครับว่าจะไปเลือกไปประเทศไหนดี…
ไม่ได้เขียนบล็อกหลายวันเนื่องจากภาวะหดหู่ทางจิตใจ ไม่ใช่เพราะแผ่นดินไหวนะครับ…
พูดถึงเรื่องแผ่นดินไหว… คืนวันนั้นผมนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพ์ฯ รู้สึกว่าเก้าอี้มีอาการโยกไปมานิด ๆ เพียงแค่รับรู้ได้ แต่ที่เห็นชัด ๆ คือการแกว่งตัวไปมาของโคมไฟที่คุณเมธีให้ไว้!!!
แต่ผมก็มิได้ตกใจกลัว เพราะเคยสัมผัสกับแผ่นดินไหวที่หนักกว่านั้นมาก่อน อีกทั้งยังได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…
พูดเรื่องการสอนเครื่องสายเด็ก ๆ ดีกว่า วันนี้น้องบาร์บี้มาเรียนเชลโลเวลา ๑๐ โมง น้องเจ้าขาไม่มา!! ช่วงบ่ายโมงนักเรียนมากันพร้อมหน้า ขาดเพียงน้องเมเปิลซึ่งลาไปต่างจังหวัด…
นอกจากต่อเพลงใหม่ในตำราซูซูกิได้อีกหนึ่งเพลง นักเรียนยังเล่นแบบฝึกหัดของ Alfred ได้ก้าวหน้าหลายบท…
เวลา ๑๕.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น. ผมมีนักเรียนไวโอลินคนใหม่ ชื่อ น้องอินดี้ ซึ่งยังไม่มีไวโอลินเป็นของตัวเอง ผมให้เล่นไวโอลินขนาด 3/4 ตัวของผมไปก่อน ในภาพเป็นการฝึกจับคันชักขึ้นลง…
ผมคิด “บทเสริมพิเศษ” ให้น้องอินดี้ปฏิบัิติ คือการให้วาดรูป ลากเส้นผ่านวงกลมจากขวาไปซ้าย จากซ้ายไปขวา ไปมา ๆ ให้ตรง ก่อนที่จะลงมือสีไวโอลินด้วยแบบฝึกหัดรถไฟของลุงน้ำชา….
เห็นได้ชัดว่าการเล่นดนตรีช่วยทำให้นักเรียนมีความสุข ดูรอยยิ้มของน้องอินดี้สิครับ…
พรุ่งนี้จะเขียนต่อนะครับ มีเรื่องที่เล่าค้างไว้หลายเรื่องทีเดียว…
No comments:
Post a Comment