กลลวงประการที่ ๔ เป็นไขมันเลือดสูง รักษาด้วยการกินยา ก็อีกนั่นแหละ พอโลกเข้าสู่ภาวะบริโภคนิยม ผลก็คือเกิดโรคไขมันเลือดสูง ประเทศไทยมีคนเป็นไขมันเลือดสูง ๕๐ % ของประชากรในเมือง รวมแล้วมีโรคไขมันเลือดสูงประมาณ ๑๒ ล้านคน พอมีไขมันเลือดสูง แพทย์ก็ให้กินยา จากนั้น ๑ เดือนไปตรวจเลือดอีกที ก็พบไขมันลดลงเป็นปกติ แพทย์ก็บอกว่าให้กินยาลดไขมันต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องหยุด บางรายถูกลดระดับโคเลสเตอรอลจนต่ำกว่า ๑๐๐ ม.ก.% ซึ่งเป็นภาวะบกพร่องไขมันอย่างน่าเป็นห่วง แต่ก็ไม่ยอมเลิกกินยา
ผู้รักษาสุขภาพเคยฉุกคิดไหมว่า ในเมื่อความเป็นจริงที่รู้ ๆ กัน ก็คือ ไขมันเลือดสูงอยู่ที่การกินการอยู่ ทีนี้พอกินยาแล้วยังคงกินยาอยู่ตามปกติเหมือนเดิม แต่กินยาแล้วไขมันเลือดลดลง แล้วไขมันที่่ควรจะสูงมันหายไปไหนเสียเล่า คำตอบก็คือ กลไกของยาลดไขมันมักอยู่ที่การยับยั้งไม่ให้ตับขับไขมันส่วนเกินออกมาในกระแสเลือด ผลก็คือเราได้ตัวเลขไขมันเลือดที่สวยงาม เป็นที่พอใจของทั้งแพทย์ทั้งผู้ป่วย แต่เมื่อกินยาเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์ผ่านไป ๑๐ ปี ปรากฏว่าผู้ป่วยเหล่านี้ล้วนเป็นโรคไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นปากประตูร้ายของโรคตับแข็ง และส่วนหนึ่งมีสิทธิพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับได้ นี่แหละฤทธิ์ร้ายของลัทธิบูชายา
ความซึมลึกของลัทธิบูชายา แท้ที่จริงมันเข้าไปถึงกระดูกดำของคนทั่วโลกมานานแล้ว จนกระทั่งมันจารึกเข้าไปในกฎหมายของประเทศอีกด้วย ดังเราดูได้จากพระราชบัญญัติยา-อาหาร ที่ระบุว่า ยา หมายความว่า วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ในการบำบัด บรรเทา รักษา หรือป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยของมนุษย์ วัตถุที่มุ่งหมายสำหรับให้เกิดผลแก่สุขภาพ ส่วนในพระราชบัญญัติอาหารระบุว่า อาหาร หมายความว่า ของกินหรือเครื่องค้ำจุนชีวิต วัตถุทุกชนิดที่คนกิน ดื่ม อม หรือนำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ หรือรูปลักษณะใด ๆ แต่ไม่รวมถึงยา ตามคำจำกัดความนี้แปลว่า "อาหาร" ได้รับการประเมินคุณค่าที่ต่ำมาก คือกินเข้าไปเพียงพอเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ แต่ไม่อาจมุ่งหมายที่จะให้เกิดผลใด ๆ แก่สุขภาพ ส่วนใครก็ตามที่มุ่งหมายจะกินอะไรที่เกิดผลแก่สุขภาพแล้ว ก็จงกิน "ยา"
ในเมื่อกฎหมายเป็นซะอย่างนี้ ก็ไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่า ผู้คนพลเมืองของเราจึงสักแต่ว่ากินเพื่อค้ำจุนชีวิตไปวัน ๆ และก็คิดต่อไปว่า "เอาไว้ป่วยเมื่อไหร่ ค่อยกินยารักษาก็แล้วกัน" ที่ไปไกลกว่านั้น กฎหมายก็ยังถลำลึกต่อไปว่า แม้แต่การป้องกันโรคก็ยกให้เป็นหน้าที่ของ "ยา"
เหตุฉะนี้ ธุรกิจยาข้ามชาติจึงได้เจริญรุ่งเรือง และบทบาทการกินป้องกันโรค กินรักษาโรค นอกจากจะถูกละเลย แล้วยังอาจถึงกับ "ผิดกฎหมายด้วยซ้ำ" ความเฉไฉในเรื่องนี้ มันฝังลึกในวิธีคิดของเจ้าหน้าที่รัฐ กลายเป็นยุทธศาสตร์ป้องปรามประชาชนเรื่องสุขภาพ องค์กรของรัฐใช้เงินซื้อสื่อต่าง ๆ ระดมคำโฆษณาว่า วิตามิน ซึ่งเกือบทั้งหมดก็ได้รับการอนุญาตจากทางการมาแล้วทั้งนั้น จะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ เกิดฤทธิ์สะสมเป็นพิษต่อตับ เกิดนิ่วในไต กระทั่งขยายความงานวิจัยบางชิ้นให้เห็นว่าวิตามินก่อให้เกิดมะเร็งเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แต่เราจะไม่เห็นคำโฆษณาจากหน่วยงานของรัฐที่จะรณรงค์ประชาชนให้ลดละจากการกินยา หรือพิษภัยของการกินยา (อย่างมากก็เพียงบอกว่า ให้กินยาตามแพทย์ หรือเภสัชกรสั่งจ่าย) แต่เพราะกับดักสุขภาพที่ว่า "เมื่อป่วยเจ็บก็ให้กินยา" ฝังลึกมาหลายสิบปี ผลก็คือ มีผู้ได้ประโยชน์อยู่ฝ่ายเดียวคือ ธุรกิจยา บริษัทเหล่านี้กำลังครองโลก
การลดไขมันเลือดแท้จริงอยู่ที่การควบคุมตัว และเรื่องอาหาร ดังนี้คือ
- หันมากินอยู่อย่างไทย กินข้าวกล้อง กินผัก กินปลา งดดื่มนมรวมทั้งโยเกิร์ต นมเปรี้ยว บางคนไม่ได้ดื่มนมเป็นแก้ว แต่ใช้ผสมกับกาแฟก็อาจมีไขมันเลือดสูงได้
- กินกระเทียมมื้อละ ๓ กลีบ ทุกมื้อ จะลดทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ได้ในระยะเวลา ๓ เดือน กินปลาซึ่งมีน้ำมันปลาช่วยปรับสภาพไขมันเลือด ไข่ไก่ที่ชื่อโอเมก้า 3 หรือไข่โคลัมบัส มีงานวิจัยใหม่พบว่า ไข่นี้กินวันละ ๒ ฟองกลับผลลดคอเลสเตอรอล เพิ่ม HDL ถ้าเปรียบเทียบกับกินยาลดไขมันวันละ ๕๐ บาท แต่กินไข่นี้ ๒ ฟอง ราคารวม ๑๒ บาท ราคาประหยัดกว่า แถมอร่อยด้วย เชิญเลือกเอาเอง
- อดล้างพิษ ๑๐ วัน ตามด้วยการอดล้างพิษ ๑ วัน ทุก ๑ อาทิตย์ สวนกาแฟให้ถูกวิธีร่วมด้วยในวันที่อด กาแฟจะไปเปิดท่อน้ำดี ช่วยให้ตับระบายไขมันส่วนเกินลงลำไส้แล้วขับถ่ายออกไป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พร้อมกับลดความเครียด
เท่านี้ก็ลดไขมันเลือดได้โดยไม่ต้องใช้ยา
No comments:
Post a Comment