ได้ข้อสรุปแล้วครับว่าผมจะมุ่งหน้าไปเวียดนามโดยผ่านลาวเหนือ แต่ไม่มีเป้าหมายตายตัวว่าต้องไปสิ้นสุดตรงไหน มีเวลาแค่สองสัปดาห์...ผมอาจจะไปไม่ถึงฮานอย หากเสน่ห์ของหมู่บ้านเล็ก ๆ ในชนบทของลาวหรือเวียดนามมีมากพอที่จะดึงผมไว้ได้หลาย ๆ วัน อย่างไรก็ตามผมได้ปักหมุดลงในแผนที่แล้วว่าทิศทางการย่างก้าวของผมจะมุ่งไปทางไหน...
เชียงใหม่ - เชียงของ - ห้วยทราย - หลวงน้ำทา - อุดมไชย - เมืองขวา - เบียนเดียนฟู - ซาปา - เลาไก - แล้วนั่งรถไฟไปฮานอย นั่นคือเส้นทางที่รอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเอาเข้าจริง ๆ แล้ว...ผมอาจจะไปได้เพียงแค่ครึ่งค่อนทาง แล้วหยุด! ไม่ไปต่อ! ถ้าหากตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจมากกว่าในเมืองหลวง
ผมอยากจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบไปยังจุดหมายปลายทางที่วางไว้ ผมรู้ดีว่า...ไม่ว่าไปที่ไหน ผมก็จะต้องมีภาพถ่ายและเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังได้เสมอ!
เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ผมคงต้องเตรียมจัดของลงเป้แล้วล่ะ งานแรกที่ลงมือทำในวันนี้ คือการเตรียมข้อมูลสำหรับการเดินทาง "คัมภีร์นักเดินทาง" ซึ่งเป็นที่นิยมที่สุดก็คงไม่พ้น Lonely Planet ผมค้นหากระดาษ A4 ใช้แล้วที่ยังเนื้อที่ว่างด้านหลังออกมาจากกล่องเก็บ แล้วสั่งพิมพ์เอกสารที่จะพกติดตัวไว้เป็นข้อมูลในการเดินทาง ด้วยการค่าตั้งเครื่องพิมพ์ดังนี้...
การวางแนวให้อยู่ในตำแหน่งแนวนอน(D) และพิมพ์ด้วยเฉดสีเทา
นั่นไง...ได้คัมภีร์นักเดินทางออกมาแล้ว!
ข้อมูลลาวเหนือผมเคยพูดถึงครั้งนึงแล้ว (ดาวน์โหลดได้ ที่นี่) ส่วนรายละเอียดของฮานอยนั้นมีมากหน่อย ต้องใช้กระดาษ ๒๒ แผ่น (ดาวน์โหลดได้ ที่นี่)
เส้นทางจากลาวไปฮานอยจะต้องผ่านทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม ดังนั้น "Northwest Vietnam" จึงจำเป็นต้องมีไว้เพื่อศึกษาเส้นทาง (คลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่)
ไม่สิ้นเปลืองอะไรเพราะใช้กระดาษ recycle ผมสั่งพิมพ์เรื่อง "ภาษาเวียดนาม" เพื่อนำติดตัวไปด้วย (ดาวน์โหลดได้ ที่นี่)
ก่อนปิดเครื่องพิมพ์และเครื่องสแกน...ก็นำหนังสือเดินทางออกมาถ่ายเอกสารหน้าแรกไว้ซัก ๒-๓ ใบ เพื่อแยกเก็บไว้ต่างหาก เวลามีปัญหาเรื่องหนังสือเดินทางหายจะได้ใช้เป็นหลักฐาน
เรียบโร้ย!...ผมมีคัมภีร์นักเดินทางไว้พร้อมแล้ว!
Saturday, March 31, 2012
Friday, March 30, 2012
ซ่อมเป้...
เช้านี้ผมคิดถึงเจ้ากระติกน้ำสแตนเลสที่เคยใส่เป้พกพาไปด้วย ไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหน ค้นหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ! ผมเกือบจะสิ้นหวังซะแล้ว พอดีฉุกคิดได้ว่าบางทีอาจจะอยู่ที่เจ้าโต (รถโตโยต้าคราวน์ทึ่จอดทิ้งไว้นานแล้ว) ผมลงไปดู...แล้วยิ้มออก มันอยู่ที่นั่นจริง ๆ!
ต้องนำมาล้างก่อนครับ....
สำหรับคอกาแฟ น่าจะพกไปด้วยนะ...
ผมอยากจะถ่ายภาพการพกพากระติกลงในช่องบรรจุด้านข้างเป้ ว้า...รูดซิปไม่ได้!
อย่าใจร้อนครับ ถ้าใช้แรงดึงอาจทำให้ซิปแตกได้! ช่างเหอะไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ไปหยิบกระป๋อง Sonax มา เขย่ากระป๋อง ๒-๓ ที แล้วพ่น "ฟืด ๆ" ลงไปที่ซิปนั่น...
ผมฉีด Sonax แล้วลองรูดซิปดู มันสามารถเปิดออกได้อย่างง่ายดาย!
ผมนำกระติกใส่ลงไป เปิดให้ดูกว้าง ๆ แล้วถ่ายภาพมาให้เพื่อน ๆ ได้ดู
อย่าลืมฉีด Sonax ให้กับซิปอีกข้างนึงด้วยนะครับ แม้ว่ามันจะไม่ติดก็ตาม
วันนี้คุยเรื่อง "ซ่อมเป้" พรุ่งนี้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะต้องซ่อมอะไรอีก (ฮา)
ต้องนำมาล้างก่อนครับ....
สำหรับคอกาแฟ น่าจะพกไปด้วยนะ...
ผมอยากจะถ่ายภาพการพกพากระติกลงในช่องบรรจุด้านข้างเป้ ว้า...รูดซิปไม่ได้!
อย่าใจร้อนครับ ถ้าใช้แรงดึงอาจทำให้ซิปแตกได้! ช่างเหอะไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่ไปหยิบกระป๋อง Sonax มา เขย่ากระป๋อง ๒-๓ ที แล้วพ่น "ฟืด ๆ" ลงไปที่ซิปนั่น...
ผมฉีด Sonax แล้วลองรูดซิปดู มันสามารถเปิดออกได้อย่างง่ายดาย!
ผมนำกระติกใส่ลงไป เปิดให้ดูกว้าง ๆ แล้วถ่ายภาพมาให้เพื่อน ๆ ได้ดู
ปรับเป็นภาพสีน้ำ... |
วันนี้คุยเรื่อง "ซ่อมเป้" พรุ่งนี้ยังไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะต้องซ่อมอะไรอีก (ฮา)
Thursday, March 29, 2012
เต็นท์...ติดตัวไปด้วยก็ดี
ความแน่นอนมีมากกว่า 50% แล้วครับ...สำหรับการแบกเป้ท่องเที่ยวของผม! ตอนนี้กล้องถ่ายรูปก็มีแล้ว (อาจต้องซื้อถ่านแบบ rechargeable เพิ่มอีกสัก ๒ ก้อน) backpack พร้อม! ถุงนอนพร้อม! กล้วยตาก ๗ แดดก็พอมี!
เงินประมาณ ๑ หมื่นบาทเป็นงบเดินทางก็คงพอจัดสรรได้ครับ ผมคิดเสียว่า...กลับมาแล้วค่อยโหมทำงานใช้หนี้ก็ได้ จะรอให้ขายบ้านได้เสียก่อนแล้วค่อยไป...คิดว่าไม่ดีแน่! เพื่อน ๆ มาให้กำลังใจกันหน่อยเด้อ ช่วยแนะนำด้วยว่าผมควรไปไหนดี? เอาแค่ ๒ อาทิตย์พอครับ แล้วต้องไม่ติดปีกด้วยนะ!
คราวก่อนผมเดินทางโดยรถไฟไปยังสิงคโปร์ ใช้เวลา ๒ สัปดาห์ หมดเงินไป ๙ พันบาท (รวมค่าของฝากด้วย) มาครั้งนี้มีงบประมาณและระยะเวลาพอ ๆ กัน..ผมจะเลือกไปไหนดี? ไปลาวเหนือ...แล้วหาทางลุยต่อไปให้ถึงฮานอยหรือดานังดีไหมเอ่ย?
หรือว่าไปขอดูงานในโรงเรียนประถมบ้านนอกของลาวดีไหม?
อยากได้ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาวจาก Lonely Planet (มี ๓๙ หน้า) สามารถคลิกโหลดได้ ที่นี่ ครับ
ที่แอบคิดหวังไว้ในใจ คืออยากแอบปั่นจักรยานจากสุไหงโก-ลก ไปสิงคโปร์โดยใช้เส้นทางฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย ซึ่งมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การปั่นแค่วันละ ๖๐-๗๐ กิโลเมตร..แล้วพักเที่ยวตามจุดต่าง ๆ ทางชายฝั่งด้านตะวันออกของมาเลเซียแบบไม่เร่งรีบนั้น ไม่หนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับผู้สูงวัยที่ใจถึง!
เพียงแต่ว่า trip จักรยานจะต้องจัดหาอุปกรณ์และใช้เวลาเตรียมตัวมากกว่านี้...
ผมก็เลยคิดถึงลาวเหนือและเวียดนามแทน! อืมมม...ถ้าไปเช่นนั้น ผมควรต้องนำเต็นท์ติดตัวไปด้วย เราไม่หรอกรู้ว่าวันใดอาจมีความจำเป็นต้องตั้งเต็นท์พักแรมที่ไหนสักแห่งหนึ่งบนหนทางอันยาวไกล! มีไปด้วยก็ใช่ว่าจะลำบากยากเย็นอะไร!
เต็นท์ของผมอายุพอ ๆ กับถุงนอนเลยครับ ป้า Alice ส่งมาให้จากแคนาดา..เมื่อ ๒๐ ปีเห็นจะได้! ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมที่จะนำออกลุยได้ทุกเวลา ผมลองนำมันมาผูกติดกับเป้ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นดังนี้...
ถ้าไปค้างแรมในอุทยานแห่งชาติหรือตามรีสอร์ทต่าง ๆ การตั้งเต็นท์นอนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ทำให้ได้อยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย อย่างเช่น ที่ผมไปตั้งเต็นท์นอนในไร่หญ้ารีสอร์ท ร่วมกับคณะครูและนักเรียนโรงเรียนลำปางกัลยาณีเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว...
ที่พักในออสเตรเลีย บางแห่งก็สามารถตั้งเต็นท์นอนได้ อย่างเช่นภาพนี้...
สรุปแล้ว แบกเป้ครั้งนี้...ผมน่าจะนำเต็นท์ติดตัวไปด้วย
เพื่อน ๆ เห็นด้วยมั้ยครับ?
เงินประมาณ ๑ หมื่นบาทเป็นงบเดินทางก็คงพอจัดสรรได้ครับ ผมคิดเสียว่า...กลับมาแล้วค่อยโหมทำงานใช้หนี้ก็ได้ จะรอให้ขายบ้านได้เสียก่อนแล้วค่อยไป...คิดว่าไม่ดีแน่! เพื่อน ๆ มาให้กำลังใจกันหน่อยเด้อ ช่วยแนะนำด้วยว่าผมควรไปไหนดี? เอาแค่ ๒ อาทิตย์พอครับ แล้วต้องไม่ติดปีกด้วยนะ!
คราวก่อนผมเดินทางโดยรถไฟไปยังสิงคโปร์ ใช้เวลา ๒ สัปดาห์ หมดเงินไป ๙ พันบาท (รวมค่าของฝากด้วย) มาครั้งนี้มีงบประมาณและระยะเวลาพอ ๆ กัน..ผมจะเลือกไปไหนดี? ไปลาวเหนือ...แล้วหาทางลุยต่อไปให้ถึงฮานอยหรือดานังดีไหมเอ่ย?
หรือว่าไปขอดูงานในโรงเรียนประถมบ้านนอกของลาวดีไหม?
อยากได้ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศลาวจาก Lonely Planet (มี ๓๙ หน้า) สามารถคลิกโหลดได้ ที่นี่ ครับ
ที่แอบคิดหวังไว้ในใจ คืออยากแอบปั่นจักรยานจากสุไหงโก-ลก ไปสิงคโปร์โดยใช้เส้นทางฝั่งตะวันออกของมาเลเซีย ซึ่งมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การปั่นแค่วันละ ๖๐-๗๐ กิโลเมตร..แล้วพักเที่ยวตามจุดต่าง ๆ ทางชายฝั่งด้านตะวันออกของมาเลเซียแบบไม่เร่งรีบนั้น ไม่หนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับผู้สูงวัยที่ใจถึง!
เพียงแต่ว่า trip จักรยานจะต้องจัดหาอุปกรณ์และใช้เวลาเตรียมตัวมากกว่านี้...
ผมก็เลยคิดถึงลาวเหนือและเวียดนามแทน! อืมมม...ถ้าไปเช่นนั้น ผมควรต้องนำเต็นท์ติดตัวไปด้วย เราไม่หรอกรู้ว่าวันใดอาจมีความจำเป็นต้องตั้งเต็นท์พักแรมที่ไหนสักแห่งหนึ่งบนหนทางอันยาวไกล! มีไปด้วยก็ใช่ว่าจะลำบากยากเย็นอะไร!
เต็นท์ของผมอายุพอ ๆ กับถุงนอนเลยครับ ป้า Alice ส่งมาให้จากแคนาดา..เมื่อ ๒๐ ปีเห็นจะได้! ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมที่จะนำออกลุยได้ทุกเวลา ผมลองนำมันมาผูกติดกับเป้ให้เพื่อน ๆ ได้เห็นดังนี้...
ถ้าไปค้างแรมในอุทยานแห่งชาติหรือตามรีสอร์ทต่าง ๆ การตั้งเต็นท์นอนจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ทำให้ได้อยู่กับธรรมชาติและใช้ชีวิตด้วยความเรียบง่าย อย่างเช่น ที่ผมไปตั้งเต็นท์นอนในไร่หญ้ารีสอร์ท ร่วมกับคณะครูและนักเรียนโรงเรียนลำปางกัลยาณีเมื่อ ๔ ปีที่แล้ว...
สรุปแล้ว แบกเป้ครั้งนี้...ผมน่าจะนำเต็นท์ติดตัวไปด้วย
เพื่อน ๆ เห็นด้วยมั้ยครับ?
Wednesday, March 28, 2012
ทดสอบกล้องตัวใหม่
ต้องขออภัย...เมื่อวานนี้ HiNet ของ CAT ใช้งานไม่ได้ทั้งคืน ผมจึงไม่ได้เข้ามาคุยกับเพื่อน ๆ วันนี้เข้าเน็ตได้ตามปกติ...ผมอยากจะคุยเกี่ยวกับเรื่องกล้องถ่ายรูป
ขอย้อนความก่อนว่า ผมชอบเล่นกล้องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กล้องตัวเเรกที่ได้เป็นเจ้าของก็คือเจ้า Kodak Instamaic 100 ซึ่งมีหน้าตาอย่างที่เห็นในภาพ....
จากนั้นมาผมก็ใช้กล้องอีกหลายตัว ชึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ จนกระทั่งถึงยุคติจิตอล...ผมตัดสินใจควักเงินหลายพันบาทซื้อกล้องยี่ห้อ Polaroid ซึ่งถือว่าเป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของผม...มาทดลองใช้
ดูเหมือนว่าผมได้เป็นผู้บุกเบิกซึ่งมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าได้อีกไกล แต่ผมกลับหยุดอยู่ตรงจุดเริ่มต้น เหมือนเช่นตอนได้เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ cpu 8088 กับระบบ Dos ที่ซื้อมาในราคา ๒๕,๐๐๐ บาท ถ้าจากจุด ๆ นั้น...หากผมสานต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ทุกวันนี้ผมก็คงมีอะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่านัก!
พูดถึงเรื่องกล้อง....ผมบอกได้อย่างไม่อายว่าในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยใช้กล้องดิจิตอล SLR ชนิดที่เปลี่ยนเลนส์ได้เลยครับ แค่สัมผัสหรือยกขึ้นมาส่องผ่านช่อง viewfinder ก็ยังไม่เคยด้วยซ้ำ (อ่อ...เคยลองจับกล้องตัวหนัก ๆ ของคุณเมธีที่วัดพระแก้วฯ เข้าใจว่าจะเป็นกล้องฟิล์ม แต่ถ้าเป็นกล้องดิจิตอลก็ต้องขออภัยที่เข้าใจผิด) ผมได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งผมอาจได้เป็นเจ้าของกล้องอย่างนั้นบ้าง แต่ก็ยังเกรงว่าเมื่อถึงวันนั้นเชื้อไฟที่มีอยู่อาจจะดับไปแล้วก็ได้!!!
ถ้าเพื่อน ๆ ติดตามอ่านบล็อกช่างเหอะมาสักระยะ คงทราบว่าผมเคยปรารภว่า จะต้องรีบหากล้องถ่ายรูปตัวใหม่ให้ได้ ก่อนที่จะแบกเป้ออกเดินทางในเดือนหน้านี้ วันนี้ผมได้มาแล้วครับ....
กล้อง Canon PowerShot A460 ขนาด 5 Megapixels ภาพนี้เป็นภาพที่ลงไว้ในเว็บ pramool.com...
ผมประมูลได้มาในราคา ๖๐๐ บาท เมื่อวานนี้ไปรับสินค้าซึ่งส่งมาให้ทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษแล้ว...
กล้องสภาพค่อนข้างใหม่ ใช้งานได้ดี ผู้ขายแพ็คไว้เป็นอย่างดี และแถมถ่าน AA แบบอัลคาไลน์มาด้วย ๒ ก้อน...
ผมใช้ถ่าน AA แบบ rechargeable ที่มีอยู่ใส่ลงไปแล้วเปิด switch ภาพที่ปรากฏบนจอ LCD ขนาด ๒ นิ้วนั้นสดใสกว่าที่ผมเคยเห็นจากกล้อง Olympus Mju 20 ซึ่งพังไปแล้ว ได้เห็นเป็นครั้งแรก...ผมก็เกิดความพอใจ!
สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง กล้องตัวนี้สามารถตั้งความละเอียดได้หลายระดับดังนี้
ส่วนภาพเคลื่อนไหวมีดังนี้
ถูกใจที่สุดตรงที่มีช่อง viewfinder...ผมปิดสวิชจอภาพแล้วมองผ่านทางช่อง viewfinder มีความรู้สึกเหมือนกับใช้กล้องฟิล์มในอดีต!
วันนี้พูดเรื่องกล้องถ่ายรูป ผมจึงอยากนำนิตยสาร Outdoor Photograph ฉบับล่าสุด (April 2012) หนา ๕๙ หน้ามาฝาก ในเล่มมีเรื่องของกล้องและเลนส์รุ่นใหม่ ซึ่งน่าสนใจสำหรับเพื่อน ๆ ช่างภาพด้วย สามารถคลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ
เพื่อน ๆ ที่รักครับ ตอนนี้ผมมีกล้องสำหรับใช้บันทึกภาพในการเดินทางแล้ว อีกไม่นานคงได้ออกลุยไปถ่ายภาพมาให้เพื่อนได้ดู...
ขอย้อนความก่อนว่า ผมชอบเล่นกล้องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก กล้องตัวเเรกที่ได้เป็นเจ้าของก็คือเจ้า Kodak Instamaic 100 ซึ่งมีหน้าตาอย่างที่เห็นในภาพ....
จากนั้นมาผมก็ใช้กล้องอีกหลายตัว ชึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ จนกระทั่งถึงยุคติจิตอล...ผมตัดสินใจควักเงินหลายพันบาทซื้อกล้องยี่ห้อ Polaroid ซึ่งถือว่าเป็นกล้องดิจิตอลตัวแรกของผม...มาทดลองใช้
ดูเหมือนว่าผมได้เป็นผู้บุกเบิกซึ่งมีโอกาสก้าวไปข้างหน้าได้อีกไกล แต่ผมกลับหยุดอยู่ตรงจุดเริ่มต้น เหมือนเช่นตอนได้เป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์รุ่นแรกที่ใช้ cpu 8088 กับระบบ Dos ที่ซื้อมาในราคา ๒๕,๐๐๐ บาท ถ้าจากจุด ๆ นั้น...หากผมสานต่ออย่างไม่หยุดยั้ง ทุกวันนี้ผมก็คงมีอะไรที่ดีกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่านัก!
พูดถึงเรื่องกล้อง....ผมบอกได้อย่างไม่อายว่าในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยใช้กล้องดิจิตอล SLR ชนิดที่เปลี่ยนเลนส์ได้เลยครับ แค่สัมผัสหรือยกขึ้นมาส่องผ่านช่อง viewfinder ก็ยังไม่เคยด้วยซ้ำ (อ่อ...เคยลองจับกล้องตัวหนัก ๆ ของคุณเมธีที่วัดพระแก้วฯ เข้าใจว่าจะเป็นกล้องฟิล์ม แต่ถ้าเป็นกล้องดิจิตอลก็ต้องขออภัยที่เข้าใจผิด) ผมได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งผมอาจได้เป็นเจ้าของกล้องอย่างนั้นบ้าง แต่ก็ยังเกรงว่าเมื่อถึงวันนั้นเชื้อไฟที่มีอยู่อาจจะดับไปแล้วก็ได้!!!
ถ้าเพื่อน ๆ ติดตามอ่านบล็อกช่างเหอะมาสักระยะ คงทราบว่าผมเคยปรารภว่า จะต้องรีบหากล้องถ่ายรูปตัวใหม่ให้ได้ ก่อนที่จะแบกเป้ออกเดินทางในเดือนหน้านี้ วันนี้ผมได้มาแล้วครับ....
กล้อง Canon PowerShot A460 ขนาด 5 Megapixels ภาพนี้เป็นภาพที่ลงไว้ในเว็บ pramool.com...
ผมประมูลได้มาในราคา ๖๐๐ บาท เมื่อวานนี้ไปรับสินค้าซึ่งส่งมาให้ทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษแล้ว...
กล้องสภาพค่อนข้างใหม่ ใช้งานได้ดี ผู้ขายแพ็คไว้เป็นอย่างดี และแถมถ่าน AA แบบอัลคาไลน์มาด้วย ๒ ก้อน...
ผมใช้ถ่าน AA แบบ rechargeable ที่มีอยู่ใส่ลงไปแล้วเปิด switch ภาพที่ปรากฏบนจอ LCD ขนาด ๒ นิ้วนั้นสดใสกว่าที่ผมเคยเห็นจากกล้อง Olympus Mju 20 ซึ่งพังไปแล้ว ได้เห็นเป็นครั้งแรก...ผมก็เกิดความพอใจ!
สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง กล้องตัวนี้สามารถตั้งความละเอียดได้หลายระดับดังนี้
Large: | 2592 x 1944 pixels |
Middle 1: | 2048 x 1536 pixels |
Middle 2: | 1600 x 1200 pixels |
Small: | 640 x 480 pixels |
Widescreen: | 2592 x 1456 pixels |
640 x 480 pixels (10 frames/sec.) 320 x 240 pixels (30 frames/sec.) ต้องทดสอบดูหน่อย..... | ||||||||||
Canon ตัวนี้ให้ภาพที่สว่างดี |
ภาพนี้วัดแสงตรงจุดที่แสงเข้ามาทางหน้าต่าง |
ความชัดเจนใช้ได้เลยนะ... |
ลองถ่ายคีย์เปียโน... |
แล้วลองใช้โหมดถ่ายใกล้... |
ลองถ่ายภาพนักเรียนที่มาเรียนทฤษฎีดนตรี... |
ถูกใจที่สุดตรงที่มีช่อง viewfinder...ผมปิดสวิชจอภาพแล้วมองผ่านทางช่อง viewfinder มีความรู้สึกเหมือนกับใช้กล้องฟิล์มในอดีต!
วันนี้พูดเรื่องกล้องถ่ายรูป ผมจึงอยากนำนิตยสาร Outdoor Photograph ฉบับล่าสุด (April 2012) หนา ๕๙ หน้ามาฝาก ในเล่มมีเรื่องของกล้องและเลนส์รุ่นใหม่ ซึ่งน่าสนใจสำหรับเพื่อน ๆ ช่างภาพด้วย สามารถคลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ
เพื่อน ๆ ที่รักครับ ตอนนี้ผมมีกล้องสำหรับใช้บันทึกภาพในการเดินทางแล้ว อีกไม่นานคงได้ออกลุยไปถ่ายภาพมาให้เพื่อนได้ดู...
Monday, March 26, 2012
เคล็ดลับเรื่องของผัก
ผมมีนิตยสาร "หมอชาวบ้าน" ฉบับที่ ๑๗๐ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๖ อยู่บนชั้นหนังสือ วันนี้ได้นำออกมาอ่าน รู้สึกชื่นชอบคอลัมน์ "รู้ก่อนกิน" ซึ่งเขียนโดย "เด็กหญิงส้มโอ" ในหัวข้อ "เคล็ดลับเรื่องของผัก" ในหน้าที่ ๗๖-๗๘ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ดี จึงอยากจะขออนุญาตนำมาเก็บไว้ที่นี่ครับ...
"เด็กหญิงส้มโอ" ให้ความรู้ไว้ดังนี้...
ชะอมเป็นพืชที่มีหนามตามเถาและก้านใบ ปลายหนามจะงอกลงทางด้านโคนต้นและโคนก้านใบ ฉะนั้นเวลารูดชะอมจึงต้องรูดจากปลายก้านไปหาโคนก้าน เพื่อป้องกันโดนหนามเกี่ยว เวลาจะซื้อก็ต้องเลือกที่สด ๆ ลองเขย่าดูเบา ๆ ถ้าไม่มีใบร่วงก็ใช้ได้...
หัวปลีก่อนกินต้องลอกกาบชั้นนอกกับดอกเล็ก ๆ ที่จะกลายเป็นกล้วยออกทีละชั้นจนถึงชั้นที่มีสีขาว จะได้ไม่เหนียว รสก็ไม่ฝาดมาก หากจะนำมาทำยำให้หั่นบางที่สุดตามขวางหัว แล้วแช่ในน้ำส้มมะขามเปียกหรือน้ำมะนาว ต้องคอยกดให้จม มิฉะนั้นหัวปลีจะดำ (สูตรนี้ใช้ได้กับผักทุกชนิดที่ปอกหรือหั่นทิ้งไว้แล้วจะดำ) ถ้าอยากกินแบบเผา ต้องอย่าเพิ่งลอกเอากาบออก เผาให้สุกจนนิ่มทั่วกันดีแล้ว จึงลอกเอากาบนอกที่เหนียวและแก่ออก ให้เหลือแต่อ่อน ๆ
มะระนำมาทำอาหารได้หลายอย่างทั้งต้มและผัด และมีรสชาติที่เฉพาะตัวคือความขม หากใครไม่ชอบรสขมมาก ก็ให้นำมะระไปต้มกับน้ำเกลือ แล้วรินน้ำทิ้ง ๑ ครั้ง
วิธีเลือกซื้อบวบ คือให้เลือกที่มีสีเขียวสด หัวขั้วยังเขียวสดอยู่ เหลี่ยมนูนชัดและคม จับดูจะนิ่ม เวลาจะนำไปปรุงอาหารควรปอกเปลือกแค่พอลบเหลี่ยม จะทำให้มีรสชาติหวานอร่อย
หน่อไม้ฝรั่งมีหลายชนิด ชนิดสีเขียวขณะที่ยังอ่อนอยู่จะไม่มีเสี้ยนมาก เวลาเลือกให้ดูที่ก้านจะคล้ายกับดอกกุยช่าย ถ้าแก่เปลือกจะเหนียวมาก เวลาปรุงจึงต้องปอกเปลือกก่อนเพื่อช่วยไม่ให้เหนียว เวลาซื้ออย่าซื้อครั้งละมาก ๆ เพื่อเก็บไว้กินหลาย ๆ วัน เพราะเปลือกที่บาง เขียว นุ่ม จะแก่และหนาขึ้น มีเสี้ยนมากขึ้น ทำให้เหนียว ไม่อร่อย
ถั่วลันเตา เลือกฝักที่ยังเขียวสด ฝักแบน ไม่พอง เส้นของฝักเล็ก ก่อนนำไปประกอบอาหารต้องลอกเส้นขอบฝักทั้ง ๒ ข้างออกเสียก่อน เพราะส่วนนี้จะเหนียวและเเข็ง ไม่อร่อย
มะเขือพวงนิยมนำมาใส่ในน้ำพริกและแกง หากใส่ในน้ำพริกไม่ควรใส่มาก เพราะจะมีรสขื่นนิด ๆ ขมด้วย แต่ถ้าใส่ในแกงเขียวหวาน ก่อนใส่ให้นำมะเขือพวงมาบุบพอแหลกแล้วแช่น้ำ เมล็ดจะลอยขึ้นมา เมื่อนำไปใส่แกงจะไม่ทำให้น้ำแกงดำ ไม่ขม และยังช่วยให้น้ำแกงเข้าเนื้อด้วย
คะน้ามีด้วยกันหลายพันธุ์ พันธุ์ที่ลำต้นอวบใหญ่ ใบถี่และกว้าง ใบเป็นคลื่นเล็กน้อย เมื่อนำมาประกอบอาหารจะอร่อยกว่าพันธุ์ที่มีลำต้นสูงเพียว ใบห่าง และค่อนข้างเรียบ นอกจากนี้คะน้ายังเป็นผักที่สามารถดูดซึมสารพิษได้ดี จึงควรล้างหลาย ๆ ครั้ง ก่อนนำมาปรุงอาหาร
ในเห็ดฟางมีกรดกลูตามิก ซึ่งเป็นกรดชนิดเดียวกับที่มีในผงชูรส อาหารที่ประกอบด้วยเห็ดฟางจึงมีรสชาติหวาน อร่อย นอกจากนี้ในเห็ดฟางยังมีไนอะซินสูงอีกด้วย มีประโยชน์คือช่วยป้องกันโรคผิวหนังหยาบ ปากอักเสบ และลิ้นบวมแดง... เวลาเลือกก็ควรเลือกดอกที่กำลังจะตูมจะดีกว่าดอกบาน เพราะเนื้อจะหวานกรอบกว่า หากเหลือจะเก็บไว้กินวันอื่นก็กลัวดอกจะบานและดำ ก็ให้นำเห็ดมาลวกน้ำเดือดเสียก่อนจึงแช่เย็น เท่านี้ก็ทำให้เก็บเห็ดคงสภาพเดิมได้นานขึ้น
เผือก ส่วนที่ใช้กินคือ ราก หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหัว...(เช่นเดียวกับหัวมัน หัวผักกาด) เผือกมีผิวที่สากมือ และเป็นขน ทำให้คันมือ ก่อนปอกให้นำเผือกไปผิงไฟสักครู่ แล้วจึงนำมาปอก พืชที่มีหัวประเภทเผือก แครอต หัวผักกาด หากต้องการเก็บไว้ ให้ตัดใบออกให้หมดก่อน มิฉะนั้นความหวานในหัวจะลดลง...วันนี้ผมนั่งเคาะแป้นพิมพ์นำบทความของคุณส้มโอมาบอกต่อ โดยใช้ภาพประกอบจากทางอินเทอร์เน็ต (มิใช่เพราะขี้เกียจเขียนเรื่องของตัวเองนะครับ) เพราะเห็นว่าบทความนี้มีสาระที่เป็นประโยชน์ (ขอขอบคุณผู้เขียนและเจ้าของภาพพืชผักที่ผมนำมาใช้ด้วยครับ)
วันนี้...ขอนำนิตยสาร New Zealand Gardener ฉบับล่าสุด เดือนมีนาคม มาฝากด้วย ๑ เล่ม เพื่อน ๆ คลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับผม...
กำลังจะปลูกผักกินเองอยู่พอดีครับ!
Sunday, March 25, 2012
เตรียมเสบียง..ก่อนออกเดินทาง
วันนี้ขอคุยเรื่องการแบกเป้ท่องเที่ยวอีกซักวันนะครับ จริง ๆ แล้วถ้าเพื่อน ๆ ยังไม่เบื่อ...ผมก็อยากจะเขียนต่อในเรื่องการเตรียมตัวออกแบกเป้ของผม ซึ่งค่อนข้างจะไม่เหมือนใคร!
ก่อนแบกเป้ออกเดินทาง ถ้ามีเวลา...ผมก็มักจะจัดเตรียมเสบียงเพื่อนำติดตัวไปด้วย สิ่งที่ง่ายมาก ๆ สำหรับผมก็คือ การทำกล้วยตากและแอปเปิ้ลตากแห้ง อย่างที่เห็นในภาพ...
ก่อนอื่นก็ต้องไปหาซื้อกล้วยน้ำว้าชนิดที่เค้าโล๊ะขายให้ถูก ๆ มาจากตลาดเสียก่อน...
ไม่สวยก็ไม่เป็นไรครับ ปลอกเปลือกแล้วใส่ถาดนำออกไปตากได้เลย...
ส่วนแอปเปิ้ลก็นำมาปลอกเปลือก หั่นให้เป็นแผ่นบาง ๆ ประมาณ ๒ มม. จัดวางเรียงในถาด แล้วนำออกตากเช่นเดียวกัน
ถ้าจะใช้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทางไกล ควรต้องตากนานกว่าปกติ สำหรับผมจะตากถึง ๗ แดด หรือตาก ๗ วัน จนแอปเปิ้ลกลายเป็นแผ่นแข็งและเหนียวเคี้ยวแทบไม่ออก...
เมื่อตากได้ที่แล้ว ให้นำไปนึ่งในหม้อนึ่ง โดยใช้เวลาประมาณ ๒๐-๓๐ นาที หลังจากผ่านการ sterile... ทั้งกล้วยและแอปเปิ้ลจะนิ่มลง
ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนนำบรรจุลงในภาชนะพลาสติกซึ่งปิดสนิท อากาศไม่เข้า
ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นนะครับ หลังจากนั้นอีก ๒-๓ วัน มันจะกลายเป็นกล้วยตากที่อร่อยมาก ๆ หอมหวาน! เคี้ยวหนึบ ๆ ส่วนแอปเปิ้ลก็มีรสเปรี้ยวนิด ๆ สามารถนำใส่เป้...ใช้เป็นเสบียง ช่วยบรรเทาความหิวในระหว่างการเดินทางบนรถยนต์หรือรถไฟได้เป็นอย่างดี! ผมมักจะกินกับขนมปังโฮลวีทและนมถั่วเหลือง
ปัญหาที่นักเดินทางไม่อยากเจอะเจอก็คือ "อาการท้องเสีย" ฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่แน่ใจในความสะอาด เสบียงซึ่งนำติดตัวไปด้วยจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ครับ!
คงต้องเริ่มเตรียมตากกล้วยและแอปเปิ้ลแล้วล่ะ!
พูดเรื่องการท่องเที่ยว..วันนี้ขอนำนิตยสาร Wanderlust ฉบับล่าสุดประจำเดือนเมษายนมาฝาก หนา ๑๔๘ หน้า ประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวผจญภัย เพื่อน ๆ สามารถคลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ
ก่อนแบกเป้ออกเดินทาง ถ้ามีเวลา...ผมก็มักจะจัดเตรียมเสบียงเพื่อนำติดตัวไปด้วย สิ่งที่ง่ายมาก ๆ สำหรับผมก็คือ การทำกล้วยตากและแอปเปิ้ลตากแห้ง อย่างที่เห็นในภาพ...
ก่อนอื่นก็ต้องไปหาซื้อกล้วยน้ำว้าชนิดที่เค้าโล๊ะขายให้ถูก ๆ มาจากตลาดเสียก่อน...
ไม่สวยก็ไม่เป็นไรครับ ปลอกเปลือกแล้วใส่ถาดนำออกไปตากได้เลย...
ส่วนแอปเปิ้ลก็นำมาปลอกเปลือก หั่นให้เป็นแผ่นบาง ๆ ประมาณ ๒ มม. จัดวางเรียงในถาด แล้วนำออกตากเช่นเดียวกัน
ถ้าจะใช้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทางไกล ควรต้องตากนานกว่าปกติ สำหรับผมจะตากถึง ๗ แดด หรือตาก ๗ วัน จนแอปเปิ้ลกลายเป็นแผ่นแข็งและเหนียวเคี้ยวแทบไม่ออก...
เมื่อตากได้ที่แล้ว ให้นำไปนึ่งในหม้อนึ่ง โดยใช้เวลาประมาณ ๒๐-๓๐ นาที หลังจากผ่านการ sterile... ทั้งกล้วยและแอปเปิ้ลจะนิ่มลง
ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนนำบรรจุลงในภาชนะพลาสติกซึ่งปิดสนิท อากาศไม่เข้า
ไม่ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นนะครับ หลังจากนั้นอีก ๒-๓ วัน มันจะกลายเป็นกล้วยตากที่อร่อยมาก ๆ หอมหวาน! เคี้ยวหนึบ ๆ ส่วนแอปเปิ้ลก็มีรสเปรี้ยวนิด ๆ สามารถนำใส่เป้...ใช้เป็นเสบียง ช่วยบรรเทาความหิวในระหว่างการเดินทางบนรถยนต์หรือรถไฟได้เป็นอย่างดี! ผมมักจะกินกับขนมปังโฮลวีทและนมถั่วเหลือง
ปัญหาที่นักเดินทางไม่อยากเจอะเจอก็คือ "อาการท้องเสีย" ฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่แน่ใจในความสะอาด เสบียงซึ่งนำติดตัวไปด้วยจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้ครับ!
คงต้องเริ่มเตรียมตากกล้วยและแอปเปิ้ลแล้วล่ะ!
พูดเรื่องการท่องเที่ยว..วันนี้ขอนำนิตยสาร Wanderlust ฉบับล่าสุดประจำเดือนเมษายนมาฝาก หนา ๑๔๘ หน้า ประกอบด้วยเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวผจญภัย เพื่อน ๆ สามารถคลิกดาวน์โหลดได้ ที่นี่ ครับ
Saturday, March 24, 2012
ถุงนอน
เมื่อวานซืน ขณะเขียนเรื่อง เสื้อจิงโจ้ ก็ยังรู้สึกเฉย ๆ....พอถึงตอนนี้ผมกลับมีความหวังที่จะได้แบกเป้ไปต่างแดนอีกครั้ง! หุหุ ความตื่นเต้นเริ่มเข้าเกาะกุมหัวใจของนักผจญภัยวัยดึกทีละน้อย ๆ
วันนี้อยากพูดเรื่องถุงนอนหรือที่เรียกกันว่า sleeping bag ครับ ถุงนอนที่ผมใช้เป็นถุงนอนราคาถูก (ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าไม่เกิน ๔๐๐ บาท) แม้ว่าจะเก่า (อายุเกือบ ๒๐ปี)...แต่ก็ยังคงใช้งานได้ ข้อดีคือมีน้ำหนักเบา ไม่เปลืองเนื้อที่ในการพกพา
ผมนำไปตากแดด แล้วพับเก็บลงถุงของมัน!
จากนั้นก็เก็บลง backpack เตรียมพร้อมไว้ลุยได้เล้ย!
ถ้าถามว่าถุงนอนมีประโยชน์ไหม? ไม่ได้ไปนอนป่าจำเป็นต้องนำไปด้วยหรือ? ผมก็อยากบอกว่ามันมีประโยชน์มาก ๆ ครับ นำติดตัวไปเถอะ มันเป็นได้ทั้งผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หมอน เป็นเสื่อ ใช้ห่อหุ้มข้าวของที่บอบบางและเสียหายได้ง่าย มันเป็นได้แม้กระทั่ง "ม่านบังตา"!
ถุงนอนและเป้ใบแรก - ภาพนี้ถ่ายที่ backpacker hostel ในสิงคโปร์ |
Thursday, March 22, 2012
เสื้อจิงโจ้...สิ่งที่ขาดไม่ได้
เอกสารสำคัญ ๆ อย่างเช่น หนังสือเดินทาง หรือตั๋วเครื่องบิน รวมทั้งกระเป๋าสตางค์จะต้องถูกเก็บไว้ในกระเป๋าจิงโจ้...ให้แนบตัวไว้ตลอดเวลา ยกเว้นก็แต่ขณะอาบน้ำ ซึ่งก็จะต้องเตือนสติอยู่เสมอว่าอย่าได้ลืมเจ้าจิงโจ้ไว้ในห้องน้ำ บนโขดหิน...หรือบนพื้นหญ้าโดยเด็ดขาด!
ทำ "เสื้อจิงโจ้" ไว้อย่างน้อย ๓ ตัวเพื่อสับเปลี่ยน เนื้อผ้าของเสื้อกล้ามตราห่านคู่จะดูดซับเหงื่อได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเสื้อที่ใส่แล้วจึงเหม็นกลิ่นเหงื่อ ตอนค่ำ...หลังจากเดินเที่ยวมาทั้งวัน เมื่อได้อาบน้ำ...ก็ถือโอกาสซักซะเลย บิดให้แห้งแล้วผึ่งไว้ชั่วคืน ตอนเช้าก็แห้งแล้ว!
เพื่อน ๆ อย่าไปอายที่ตัวเองมองดูคล้ายคนพุงป่อง เพราะมีเอกสารและกระเป๋าตังค์อยู่ตรงหน้าท้อง (อย่างที่เห็นในภาพ อิอิ...)
เสื้อจิงโจ้จะช่วยมิให้เกิดปัญหาโดนล้วงกระเป๋า หรือหนังสือเดินทางหาย ผมจะรู้สึกอุ่นใจตลอดเวลาที่เดินทางไปต่างแดนพร้อมกับเสื้อจิงโจ้
อ่อ...ลืมบอกไปว่า เอกสารต่าง ๆ รวมทั้งกระเป๋าสตางค์จะต้องใส่ลงในซองหรือถุงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง ก่อนที่จะใส่ลงในกระเป๋าจิงโจ้ ไม่งั้นเหงื่อจะทำให้มันเปียกและเสียหายครับ
วันนี้ขอพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ไม่อ้อมค้อม...ว่าถึงเรื่องซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กันเลย!
Wednesday, March 21, 2012
Plaisir d'Amour
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๑ ผมและอาจารย์ราเชนทร์ได้บันทึกบทเพลงที่เราได้เล่นด้วยกันใน lobby โรงแรมแม่ปิงไว้ จากนั้นก็ได้นำไปบันทึกลง cassette tape ทำเป็นอัลบั้มเพื่อส่งไปให้ป้า Alice Bennett ที่ Canada โดยตั้งชื่อว่า "From Lampang with Love"
เพลงแรกของ Side B คือ เพลง Plaisir d'Amour เป็นเพลงฝรั่งเศสที่ทำนองคุ้นหู เราบรรเลงด้วยกันที่โรงแรมแม่ปิงในลักษณะ duet คือผมเล่นเปียโน และอาจารย์ราเชนทร์เป่าคลาริเน็ต
พอดีบ่ายวันนี้ผมได้รับหนังสือโน้ตเพลงของ Frank Mills (นักเปียโนชาวแคนาดา) จากเพื่อนซึ่งอยู่เชียงใหม่ (ขอไม่บอกชื่อ เพราะกลัวทำให้ท่านถูกจับ...ช่างเหอะขอรับเต็ม ๆ คนเดียวก็พอแล้ว อิอิ) ทำให้ผมคิดถึงป้า Alice จาก British Columbia, Canada ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว และคิดถึงเพลง Plaisir d'Amour ที่เคยบันทึกส่งไปให้ป้า Alice
ป้า Alice เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิต... |
ผมก็เลยอยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่าเพลงนี้เพราะมาก ๆ บรรเลงด้วยเปียโนก็หวานซึ้ง หรือจะใช้ accordion บรรเลงก็น่าฟังครับ
ขอบคุณสำหรับ Frank Mills Collection จากเชียงใหม่ครับผม...
Subscribe to:
Posts (Atom)