Wednesday, July 31, 2013

ซ่อมเครื่องทำน้ำอุ่น

ลูกบิด TEMP (สำหรับปรับอุณหภูมิ) ติดแน่น! ขยับไม่ได้แม้แต่น้อย เครื่องทำน้ำอุ่น SANYO ของผมจึงไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ช่างเหอะตั้งใจว่าจะต้องซ่อมให้ได้  (เสียดายอ่ะ ซื้อมาแพง)

 

ก่อนอื่นก็ต้องแก้ผ้า เอ้ย.. แกะฝาครอบด้านหน้าออกมาดู


ท่าทางจะซ่อมได้อยู่ ผมต้องรื้อเจ้าตัวปรับอุณหภูมิออกมาทำความสะอาด ซึ่งดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย!


ผมปลดเครื่องลงจากผนังเพื่อหาวิธีซ่อม ลองใช้ไขควงขันสกรูดูก่อน โห...ไม่มีวี่แววว่าจะหมุนออก! ถ้าเลือกใช้ประแจแหวนขันชิ้นส่วนชิ้นใดชิ้นหนึ่งออก...ก็คงจะยาก  แถมมีสิทธิทำให้เสียมากกว่าเดิม!

เครื่องใช้ที่เกี่ยวกับน้ำหรือเกี่ยวกับแก๊ส จะทำแบบหลวม ๆ ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือธรรมดา ๆ ไม่ได้หรอก!


ผมได้แต่นั่งมองเจ้าสั่นโหย่งซึ่งนอนอยู่กับพื้นเหมือนคนไข้นอนรอศัลยแพทย์ยู่บนเตียงผ่าตัด...


เกือบจะสิ้นหวังอยู่แล้ว...ผมก็นึกถึงเจ้า "Sonax" เพื่อนคู่ใจที่เคยช่วยชุบชีวิตสิ่งของเครื่องใช้มาแล้วหลายครั้งหลายคราว...


ตัดสินใจใช้วิธี "หนามยอกเอาหนามบ่ง"  ผมหงายตูด เอ้ย...ปลายท่อน้ำเข้าขึ้นมา แล้วใช้น้ำยาอเนกประสงค์ฉีดเข้าไป คราวนี้ต้องฉีดหลาย ๆ ฟืด... 


ปล่อยทิ้งไว้ให้น้ำยาไหลเข้าไปชะล้างอะไรก็ตามที่เป็นตัวทำให้ติด... 


จากนั้นผมก็ใช้คีมจับแกนทองเหลืองที่เห็น ค่อย ๆ ออกแรงขยับไปมา มันเริ่มขยับก่อนนิดนึง...ทำให้หัวใจผมเต้นแรงขึ้น ผมพยายามต่อไป...มันค่อย ๆ หมุนห่างออกไปทีละนิด ๆ  จนกระทั่งคล่องตัว และสามารถปรับได้ตามปกติในที่สุด!


ผมประกอบเครื่องกลับคืนแล้วนำขึ้นติดตั้งกับผนังตามเดิม ทดลองปรับลูกบิด GAS เปิดไฟรอจุด...   


ถึงเวลาได้ลุ้นแล้วครับ!

เปิดน้ำแล้วหมุนลูกบิด TEMP ไปตามเข็มนาฬิกา ผมได้ยินเสียงดัง "ฟืบ" แล้วเห็นไฟลุกติดขึ้นภายในเครื่อง  พร้อม ๆ กับไฟแห่งความยินดีบังเกิดขึ้นในใจของช่างเหอะ!


ต้องถอยห่างออกให้พ้นกระแสน้ำที่พุ่งออกมาจากฝักบัว!


ยกมือขึ้นไปรองรับน้ำอุ่น ก่อนที่จะนำกล้องมาถ่ายภาพไว้...


ผมทดลองปรับอุณหภูมิของเครื่องทำน้ำอุ่น รวมทั้งรูปแบบการฉีดน้ำของฝักบัว...


ใช้งานได้สมบูรณ์ทุกอย่าง...

Wow...the hot shower's ready to use!!! 

Tuesday, July 30, 2013

เครื่องทำน้ำอุ่นเสีย!

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเขียนเรื่อง "ติดตั้งฝักบัว"  แต่ยังไม่ได้รายงานว่าใช้งานแล้วเป็นอย่างไรบ้าง... 


เนื่องจากระบบน้ำที่บ้านห้างฉัตรประกอบด้วยถังเก็บน้ำขนาด ๗๐๐ ลิตรและปั้มอัตโนมัติแบบความดันคงที่...น้ำจึงไหลแรง ผมทดลองอาบน้ำสระผมด้วยฝักบัวใหม่ดูแล้ว...ใช้การได้ดีทีเดียว ถ้าปรับหัวฝักบัวให้ฉีดแบบ Spray น้ำจะพุ่งออกมาจากรูซึ่งอยู่รอบนอกซึ่งมีประมาณ ๕๐ รู  พอปรับไปที่ Massage น้ำก็เปลี่ยนไปออกทางรูตรงกลางซึ่งมีจำนวน ๑๕ รู (แรงและหนักหน่วงคล้ายการนวด อย่างเนี้ย..ถ้าเป็นที่บ้านเก่าปงแสนทองซึ่งน้ำไม่แรงพอ...ใช้ไม่ได้หรอก)

ฝักบัวใหม่ใช้อาบได้แล้ว ถ้าอากาศร้อน ๆ ก็น่าจะเย็นสบายดี แต่ ๒-๓ วันที่ผ่านมามีฝนตก อากาศค่อนข้างหนาวเย็น มันทำให้ผมคิดถึงเครื่องทำน้ำอุ่น  ผมหลับตาเห็นภาพเครื่องทำน้ำอุ่นที่ "เชียงแสนเกสต์เฮ้าส์"  เจ้าของเกสต์เฮ้าส์บอกผมว่า "  ห้องคืนละ ๒๐๐ บาท แต่ไม่มีน้ำอุ่นนะ"    พอดีตอนที่ไปเที่ยวเชียงแสนเป็นช่วงหน้าร้อน เครื่องทำน้ำอุ่นก็เลยไม่มีความหมาย!


นั่นไงครับ!  เครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊ส จะเห็นสายแก๊สเดินไปตามท่อพีวีซีจากห้องน้ำออกไปยังถังแก๊สซึ่งตั้งอยู่หน้าห้อง  ผมคิดว่าเครื่องของเชียงแสนเกสต์เฮ้าส์คงไม่เสีย แต่ไม่มีแก๊สมากกว่า!!

    
"  ต้องรีบติดเครื่องทำน้ำอุ่น"   ผมออกคำสั่งให้ตัวเอง!  รับทราบแล้ว..ผมก็ต้องรีบลงไปค้นหาเจ้าเครื่องทำน้ำอุ่นที่มีอยู่ ซึ่งเป็นเครื่องทำน้ำอุ่นแบบเดียวกับของเชียงแสนเกสต์เฮ้าส์ แต่ยี่ห้อ "ซันโย" (ผมชอบเรียกว่า "สั่นโหย่ง")  กว่าจะหาเจอก็ต้องเดินขึ้นเดินลงอยู่หลายรอบ  ผมมองไม่เห็นเพราะมันไปหลบอยู่หลังแผ่นไม้อัดที่ชั้นล่างโน่น!

จำได้ว่าผมซื้อเจ้า "สั่นโหย่ง" มาใช้ตอนพาแม่อพยพจากเชียงใหม่มาอยู่ที่ "สมพรมิวสิคเฮ้าส์"  ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นซื้อมาในราคา ๔,๗๐๐ บาท หลายคนบอกผมว่าเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊สดีกว่าแบบใช้ไฟฟ้า ประสิทธิภาพดีและทนกว่าด้วย  จริง ๆ ครับ...ผมถอดเก็บไว้นานกว่า ๑๐ ปี พอนำกลับมาใช้ที่ตึกปงแสนทองอีกครั้ง มันก็ยังใช้งานได้ แต่พอดีน้ำไม่แรง...ผมต้องเลิกใช้ไปในที่สุด!

วันนี้น้ำแรงแล้ว ผมจะต้องนำเครื่องทำน้ำอุ่นมาติดตั้งใช้กับฝักบัวตัวใหม่ จะได้มีความสุขกับสายน้ำอุ่นที่พุ่งลงมานวดแผ่นหลังซะหน่อย อิอิ!  การติดตั้งนั้นไม่ยากเลย เพราะผมเคยติดตั้งมาหลายครั้งแล้ว แค่เจาะรูฝังพุก ๓ รู แล้วนำเจ้าสั่นโหย่งขึ้นแขวนไว้กับผนัง ใกล้ ๆ กับก๊อกน้ำและฝักบัว ผมต่อสายน้ำเข้า-น้ำออก  แล้วนำเอาถังแก๊สมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำ ต่อสายแก๊สมาเข้าเครื่องเพื่อทดลองใช้งานดูก่อน... 

กดลูกบิดตัวซ้ายที่มีคำว่า GAS เสียงดัง "ฟู่" แล้วหมุนทวนเข็มนาฬิกา เกิดเสียงดัง "แก๊ก" ผมมองผ่านช่อง (1) เห็นประกายไฟและการจุดติด อย่างที่เห็นในภาพ...


ไฟที่เห็นเป็นไฟใช้ล่อสำหรับติดไฟลุกขึ้นมาอุ่นน้ำให้ร้อน...เมื่อเปิดก๊อกให้น้ำไหลผ่านเครื่อง! ผมลองเปิดน้ำทันที!  เงียบครับ!! น้ำไหลออกทางฝักบัว  แรงแต่เย็น!   อ่อ...ลืมไปว่าต้องปรับที่ลูกบิด (TEMP) ด้านขวา (2) เพื่อปรับอุณหภูมินั่นด้วย ผมเอื้อมมือไปหมุนตามเข็มนาฬิกา มันติดแน่น ไม่ขยับแม้แต่น้อย พอเพิ่มแรงอีกหน่อย ได้ยินเสียงดัง "ก๊อบ" แล้วเห็นรอยร้าวขึ้นอย่างที่เห็นในภาพ  ผมรีบยั้งมือ...คิดว่าถ้าขืนบิดแรงกว่านั้น..ลูกบิดอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ! 

เครื่องทำน้ำอุ่นของผมไม่ทำงาน!!  ผมอยากเขกหัวตัวเอง..ทำโทษที่ไม่ระบายน้ำทิ้งให้หมดตอนถอดลงมาเก็บ ทำให้มีน้ำตกค้างอยู่ จนอาจเกิดสนิมข้างใน!


ฮือ ๆ เห็นที "ช่างเหอะ" จะต้องมือเปื้อนอีกซะแล้ว!

สัมภารก…

ม่ชอบเรียกกองเอกสารของผมว่า “สัมภารก”...

ความจริงเรื่องที่จะเขียนนั้นมีมากมาย แค่ดึงลิ้นชักโต๊ะทำงานออกมาแล้วเอื้อมมือลงไปดึงเศษกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่น ผมก็มีเรื่องที่จะเขียนถึงแล้ว วันนี้ผมจำเป็นต้องค้นหาใบเสร็จรับเงินค่ามัดจำการใช้ไฟฟ้าซึ่งได้รับไว้เมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน ตอนรื้อกองสัมภารกออกมา…ได้เจอกับเอกสารหลายชิ้นที่ไม่คาดคิดว่าจะยังคงมีอยู่ อย่างเช่น บัตรประจำตัวนักศึกษาแผนกอีเลคโทรนิคส์ใบนี้ (หุหุ ยังอยู่อีกหรือเนี่ย?)

chai-bti

โห มีเยอะแยะเลย!  จดหมายที่เขียนถึงแม่ก็มีหลายฉบับ ลองหยิบออกมาดูซักใบซิ…

เป็น aerogram ที่ผมเขียนถึงแม่เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ มัยนั้นยังไม่มีอีเมลใช้ กล้องถ่ายรูปดิจิตอลก็ยังไม่มี  อยู่เมืองนอกก็ได้แต่เขียนลงใน aerogram แล้วส่งลงตู้รับจดหมายด้วยความหวังว่าประมาณสัก ๑ สัปดาห์ก็คงจะถึงมือผู้รับ  แต่ aerogram ฉบับนี้เร็วมาก ถูกประทับตราที่ Perth วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เวลา ๔ ทุ่ม วันที่ ๖ ก็ถึงเชียงใหม่แล้ว!

ผมเขียนบอกแม่ว่า….

ผมได้ย้ายที่อยู่ใหม่แล้ว ตอนนี้เช่าแฟลตอยู่กับเพื่อนชาวออสเตรเลียชื่อ “รูดี้” ผมต้องจ่ายอาทิตย์ละ 40 เหรียญ ซึ่งเท่า ๆ กับที่จ่ายหอพักที่ย้ายออกมา ที่นี่ดีกว่ามาก มีสองห้องนอน มีห้องรับแขก และห้องน้ำเป็นสัดส่วน ครัวก็มีให้ พร้อมตู้เย็นและเตาอย่างดี รูดี้เช่าโทรทัศน์ไว้ด้วย ทำให้หายเหงาได้มาก  เขากำลังติดต่อขอโทรศัพท์ ภายใน ๒-๓ วันก็ได้แล้ว หากมีโทรศัพท์การติดต่อสื่อสารก็จะดีขึ้น ในไม่ช้าผมคงได้งานเล่นดนตรี ซึ่งมีรายได้ถึงชั่วโมงละ 20 เหรียญ…

ได้นำจดหมายกลับมาอ่านอีกครั้ง  ภาพชีวิตช่วงที่ไปออสเตรเลียครั้งแรกก็ปรากฏชัดในความทรงจำ เสียดายที่เดินทางครั้งนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงหารูปมาลงให้ไม่ได้  เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน…คนหนุ่มสาวยุคนั้นสามารถไปแสวงหาโอกาสใหม่ในออสเตรเลียได้ไม่ยากเลย แค่มีเงินสักก้อนลงทะเบียนไปเรียนภาษาอังกฤษ แล้วหางานทำไปด้วย ก็อยู่ได้แล้ว คนไทยสู้งานหลายคนมีโอกาสตั้งเนื้อตั้งตัวได้ที่นั่น!

ผมเขียนบอกแม่ว่า…

ย้ายเข้าบ้านใหม่ ทุกอย่างสะดวกขึ้น อากาศก็ดีกว่าที่หอพัก ทำให้บางทีนึกอยากพาแม่ไปอยู่ด้วย แต่คิดแล้วก็คงสู้เชียงใหม่ไม่ได้  (ชีวิตที่ออสเตรเลีย ถ้ามีงานทำเป็นหลักจะดีกว่าที่ประเทศไทย เพราะระบบการปกครองของเขาดีพอสมควร ที่ดินราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อในชนบท  และตำรวจทำงานดีมาก ไม่มีการกินเงิน หรือแบ่งชนชั้นแบบเมืองไทย)….

ตอนท้ายผมเขียนว่า…

เกือบ ๓ เดือนแล้ว ที่ผมออกจากบ้านไป  ผมยังจำวันที่ ๙ พ.ย. ได้ดี วันนั้นฝนตกปรอย ๆ เมื่อผมขี่จักรยานไปสถานีรถไฟ แม่อวยพรให้ผมเมื่อผมก้มกราบลาแม่…..

อ่านแล้วคิดถึงแม่จังเลย!

Monday, July 29, 2013

DULUX 2031 Neptune

วันนี้ฝนตก!   แม้จะตกไม่หนักเหมือน cats and dogs แต่ก็โปรยปรายมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เช้า เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุด ทำนองเดียวกับ drizzling...


ผมรู้สึกได้ถึงความชื้นในอากาศ เวลาหายใจคล้ายกับมีคนเอาฟลิ้นท์โค้ทมาทาไว้ตามหลอดลม ทีแรกตั้งใจว่าวันนี้จะลงไปขัดผนังภายในอาคารชั้นล่าง แล้วทาสีรองพื้นปูนเก่า แต่ก็ต้องระงับไว้ก่อน เพราะอากาศอย่างนี้ไม่เหมาะสำหรับการทาสี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกับสีที่มีกลิ่นเหม็น เป็นอันตรายต่อสุขภาพ!

ถ้าจะทาสีผนังห้องน้ำ แค่เพียงนิด ๆ หน่อย ๆ จะได้มั้ยหนอ?  ผมกำลังชั่งใจอยู่!

เรื่องทาสี... ผมเคยบอกเพื่อน ๆ  ว่าต่อไปจะใช้สีให้ถูกกับงาน คือถ้าเป็นพื้นปูนก็จะใช้สีพลาสติกหรือที่เรียกว่าสีน้ำ เคยสัญญากับตัวเองว่าต่อไปจะไม่ใช้สีน้ำมันกับผนังปูนอีกแล้ว แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไง...ผมเกิดอยากจะทาสีผนังห้องน้ำด้วยสีน้ำมันอ่ะ!


มนุษย์เราถ้าคิดตามกรอบและทำตามตำราไปเสียทุกสิ่งอย่าง คงจะไม่เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมา ฉะนั้นผมน่าจะทำตามใจปรารถนาด้วยการใช้สีน้ำมันกับพื้นปูน!  ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง!  สีมีอยู่แล้วครับ ปีที่แล้ว...คุณแม่ของน้องเอแคร์ได้ให้สีน้ำมันยี่ห้อ Dulux มา ๑ แกลลอน!


เป็นสียี่ห้อดี มีคุณภาพ และราคาแพงซะด้วย!  ราคาข้างกระป๋องคือ 950 บาท แต่ให้มาฟรี ๆ


รหัสสี 2031 เนปจูน Neptune  คุณแอ้มบอกว่าเป็นสีน้ำเงิน!  ผมอยากรู้ว่าสีเข้มมากน้อยแค่ไหน จึงได้เข้าไปค้นหาในเว็บจำหน่ายสี....ได้ผลออกมาแล้วครับ


ยกกระป๋องขึ้นมาดู...ผมเห็นเขียนไว้ชัดเจนว่า "สีน้ำมันดูลักซ์ สำหรับพื้นผิวไม้และโลหะ"

แล้วผมจะดื้อแพ่งดีหรือเปล่าเนี่ย?

Sunday, July 28, 2013

ติดตั้งฝักบัว...

ผมเคยเห็นห้องน้ำที่บ้านใหม่ของอาจารย์ติ๊ก...ได้ยินมาว่าเฉพาะห้องน้ำก็ใช้งบเป็นแสนแล้ว!! เห็นจะจริง...เพราะวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ล้วนแต่อย่างดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นชักโครก อ่างล้างหน้า ตู้อาบน้ำและฉากกั้น! 

ที่สะดุดตาผมมาก ๆ ในวันนั้นก็คือ "ฝักบัว" ที่ฝรั่งเรียกว่า "Shower Spray" ชนิดก้านแข็ง มีรูปทรงคล้าย ๆ ในภาพต่อไปนี้...


บางทีเค้าก็เรียกว่า "Head Shower"  เพราะมันพ่นน้ำอยู่บนหัวผู้อาบ ผมเคยจินตนาการว่าถ้าได้ลองไปยืนสระผมผมอยู่ใต้ฝักบัวอย่างที่เห็น คงจะเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน เพราะในชีวิตที่ผ่านมาผมก็ยังไม่เคยได้ใช้ห้องน้ำระดับนั้นมาก่อน  เคยแต่อาบน้ำจากฝักบัวธรรมดา ๆ และส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีตักอาบ  (อยากให้เพื่อน ๆ อ่านเรื่อง "บ้านเช่าที่บางบัว"   คลิกได้ ที่นี่ ครับ)

สำหรับห้องน้ำที่บ้านห้างฉัตร นอกจากจะมีถังใส่น้ำใช้ตักอาบแล้ว...ผมยังคิดที่จะติดตั้งฝักบัวไว้ด้วย...

ก่อนอื่นต้องจัดเตรียมอุปกรณ์...ผมไปดูที่ Global House ซึ่งอยู่ใกล้บ้านที่สุด เห็นฝักบัวแบบก้านแข็งติดโชว์อยู่  เหลือบดูราคาแล้ว...ผมแทบจะอ้าปากค้าง โห! ราคาเป็นหมื่น ถูกลงมาหน่อยก็ราคาหลายพันบาท!!     "  อาบแล้วขึ้นสวรรค์หรือเปล่าเนี่ย?" ผมถามตัวเอง!

ตาลุงผู้ที่เคยแต่จ้วงน้ำจากถังขึ้นมาราดศีรษะต้องรีบถอยออกห่าง (พนักงานสาวที่คอยแนะนำสินค้าเหมือนจะรู้ดี เธอไม่ยอมเข้ามาใกล้เลย)  อย่างไรก็ตาม...ผมก็ยังอยากจะมอบรางวัลตัวเองให้ได้มีโอกาสอาบน้ำจากฝักบัวซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าเจ้าฝักบัวอันละร้อยกว่าบาทที่ได้ใช้มาแล้วทั้งชีวิต!!

ไม่ได้ใช้ฝักบัวแพงขนาดนั้น...ก็ขอให้ได้ใช้ที่มันดีกว่าเดิมก็ยังดี!  ในที่สุด ผมก็ซื้อชุดฝักบัวพร้อมขอแขวนแบบปรับระดับยี่ห้อ Hafele กลับบ้าน...


นอกจากขอแขวนซึ่งปรับให้ฝักบัวก้มเงยหรือหมุนซ้ายหมุนขวาได้แล้ว หัวฝักบัวยังสามารถปรับการฉีดน้ำออกมาได้ ๓ รูปแบบ คือ Spray, Massage และ Spray+Massage   ราคา ๕๙๐ บาทครับ...นับเป็นฝักบัวราคาแพงที่สุดที่ผมเคยซื้อใช้!

ซื้อมาแล้ว ผมก็ลงมือติดตั้งตามคำแนะนำซึ่งอยู่หลังกล่อง....


เรียบร้อยแล้วคร้าบบบ...


อวดโฉมซะหน่อย...



ได้ใช้แค่นี้ก็พอใจแย้ว!!

Normandy and Brittany

วันดีเดย์ (D-Day) คือวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 เมื่อกองกำลังพันธมิตรกว่า ๑๐๐,๐๐๐ นายยกพลขึ้นบกที่ Normandy ประเทศฝรั่งเศส นับเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ในสงครามโลกครั้งที่สอง (1939-1945) !

ใน Encyclopædia Britannica’s Guide to Normandy 1944  เขียนไว้ว่า…

On June 6, 1944, a date known ever since as D-Day, a mighty armada crossed a narrow strip of sea from England to Normandy, France, and cracked the Nazi grip on western Europe.

เมื่อสงครามสิ้นสุด…บ้านเมืองคงเต็มไปด้วยซากสลักหักพัง! แล้วก่อนหน้านั้นสัก ๒๐ ปีหละ  Normandy จะเป็นเช่นไร? ผมคิดว่าคงจะสงบและงดงาม เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส  (ผมบอกไม่ได้…เพราะยังไม่เกิด! อิอิ )  วันก่อน…ผมค้นกองสัมภารกไปเจอคู่มือนำเที่ยว Normandy และ Brittany เข้า!


เพื่อน ๆ คงคุ้นเคยกับคัมภีร์นักเดินทางของ Lonely Planet แต่อาจไม่เคยเห็น Cook’s Traveller’s Handbook เล่มที่ผมมีอยู่!

เนื้อกระดาษเปื่อยแล้ว แค่เปิดดูหน้าที่เป็นแผนที่ มันก็ขาดออกจากกันทันที! ต้องลองจัดเรียงกัน แล้วสแกนแผนที่เมือง Dieppe มาให้เพื่อน ๆ ได้ดูหน่อย…

เพื่อน ๆ อยากทราบไหมครับว่าหนังสือเล่มนี้เก่าแก่ขนาดไหน?

คำตอบคือ ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1923  ก่อนวันดีเดย์ตั้ง ๒๑ ปี!

Saturday, July 27, 2013

ไอ่เหมย

นชื่อ “ต้าเหมย” มีเยอะ แต่คนชื่อ “ต่าเหมย” คงมีไม่มากนัก!

คำพื้นเมือง… “ต่าเหมย” หมายถึง “ตาลอย” คือดวงตาไม่ได้อยู่ตรงกลาง อย่างที่เห็นเด็กหนุ่มในภาพ ถ้าเพื่อน ๆ ได้อ่านที่ผมเล่าเรื่อง “สายตาสั้น” ในบล็อก “ฟังลุงน้ำชาคุย” ก็คงจะทราบว่าผมเป็นคนที่สายตาสั้นมาก ๆ มาตั้งแต่ตอนเรียนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย แว่นตาก็ไม่ได้ใส่ มองกระดานไม่เห็น เรียนหนังสือแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เหมือนกันว่าสอบผ่าน ม.ศ. ๓ มาได้อย่างไร!

วันที่ ๙-๑๐ เมษายน ๒๕๐๙ ตอนไปสอบเข้าวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพ ผมก็ยังไม่สวมแว่นตา ก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่าสอบเข้าได้อย่างไร! ได้เข้าเรียนช่างไฟฟ้าที่วิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพ หรือที่เรียกกันว่า “เทคนิคตีนดอย” ผมเริ่มสวมแว่นตา แต่ก็ไม่ได้สวมติดตา (คงจะอายด้วยล่ะ) ตอนนั้นยังมีตาชั้นเดียว และตาลอยอย่างที่เห็นในรูปติดบัตรประจำตัวนักศึกษารักษาดินแดน เพื่อน ๆ ที่เรียนช่างไฟฟ้าปีเดียวกันจึงพากันเรียกผมว่า “ไอ่เหมย”

ผมจำได้ว่า “ยงชาย โกวรรณ” (คนยืนกลาง-ภาพข้างบน) เป็นคนเริ่มต้นเรียกก่อน จากนั้นทุกคนก็เรียกตาม พอดีผมไม่มีชื่อเล่น “เหมย” จึงกลายเป็นชื่อเล่นของผมตั้งแต่นั้นมา! ในขณะเดียวกันอาจารย์อำนาจ ทองปั้น กลับเรียกผมว่า “ไอ้หมาจู” เพราะไว้ผมปรกหน้าคล้ายทรงสี่เต่าทอง…

พอไปเรียนต่อเทคนิคกรุงเทพ (วทก.) ปี ๒๕๑๔ ผมได้เปลี่ยนไปสวมคอนแทคเลนส์ (อ่านได้ใน “เล่าเรื่องสายตาสั้น” หรือคลิก “ที่นี่”) แปลกแท้ ๆ อยู่ ๆ ตาก็เปลี่ยนจากชั้นเดียวกลายเป็นสองชั้นโดยไม่ต้องผ่าตัด!!

!

แต่ผมก็ยังเป็น “ไอ่(ต่า)เหมย” ของบรรดาเพื่อน ๆ มาโดยตลอด!

ติดตั้งตะแกรงสำหรับห้องครัว


แต่ก่อนผมไม่ได้ให้ความสนใจกับการใช้ตะแกรงเหล็กเป็นที่วางจานชาม เพราะมันมักเป็นสนิม แล้วทำให้ดูไม่สวย ครั้นจะเลือกใช้แบบสเตนเลสก็หยิบไม่ลง ราคามันช่างสูงเหลือเกิน!  

พอย้ายมาอยู่บ้านใหม่ที่ห้างฉัตร...ผมก็ต้องคิดว่าจะทำเช่นใดกับการวางจานชาม และแขวนอุปกรณ์ทำครัว พอดีวันก่อนได้ไปเดินที่ Global House... ผมเห็นมีโปรโมชั่นสินค้าประเภทของตกแต่งบ้านยี่ห้อ HOY  

ตะแกรงสเตนเลสวางจานติดผนังแบบมีตะขอ ขนาด ๑ เมตรได้ลดราคาจากเป็นพันลงมาเป็น ๗๘๕ บาท  ผมพิจารณาอยู่นาน เห็นว่าเป็นสเตนเลสเกรดดี ขนาดกำลังพอดีกับการนำมาใช้ที่บ้าน ในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อกลับมา ๑ ชิ้น...

การติดตั้งก็ไม่ยาก ก่อนอื่นต้องทาสีผนังให้เรียบร้อยเสียก่อน จากนั้นจึงใช้สว่านเจาะฝังพุกและยึดด้วยสกรูที่เค้าให้มา เรียบร้อยแล้วครับ...


เห็นเขียนบอกไว้ว่าตะแกรงรับน้ำหนักได้ถึง ๓๐ กิโลกรัม ต้องติดตั้งให้แข็งแรงจึงใช้งานได้จริง ทีแรกผมใช้ตะขอเป็นที่แขวนถ้วยกาแฟด้วย แต่มันไม่ได้ถูกออกแบบให้ใช้งานเช่นนั้น ทำให้ด้านข้างของถ้วยติดกับผนัง ดูไม่ดี!


ผมจึงใช้ตะขอเป็นที่แขวนอุปกรณ์ทำครัวอย่างที่เห็นในภาพ...


 เพื่อน ๆ จะลองหันมาใช้ของตกแต่งบ้านประเภทสเตนเลสดูบ้าง ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ...

Friday, July 26, 2013

ใช้เศษไม้ทำชั้นวางของ...

ผมมีเศษไม้ซึ่งเหลือใช้และที่คนอื่นเค้าทิ้งเก็บเอาไว้นานแล้ว พอดีห้องครัวที่บ้านห้างฉัตรยังขาดชั้นวางของ ผมคิดว่าน่าจะนำไม้เหล่านั้นมาทำได้ จึงตัดให้ได้ขนาดแล้วประกอบเข้าด้วยกัน ดังที่เห็นในภาพ...

 

พอดีไม้กระดานเป็นไม้แดง กว้าง ๑๔ เซนติเมตร (เกือบ ๖ นิ้ว) หนา ๒ เซนติเมตร  ผมนำมาทำแบบง่าย ๆ ด้วยการใช้เลื่อยตัดให้ได้ความยาวที่ต้องการ แล้วประกอบเข้าด้วยกัน (ใช้สว่านดอกเล็กเจาะนำก่อนที่จะใช้ตะปูตอก อย่าลืมใช้กาวลาเท็กซ์ด้วยนะครับ)  ส่วนด้านหลังนั้นตีด้วยไม้อัดหนา ๘ มิลลิเมตร (เศษไม้เช่นกัน)

จากนั้นผมก็ใช้สว่านเจาะรูเล็ก ๆ บนแผ่นไม้อัดจำนวน ๑๖ รู เพื่อใช้กรูขันยึดติดกับผนัง เหตุที่ให้มีหลายรูก็เพื่อความแข็งแรง ติดตั้งแล้วจะได้สบายใจว่าจะไม่หลุดตกลงไป  (ขนาดยังไม่ได้วางของ ก็ยกแทบไม่ขึ้นแล้ว)


ประกอบเสร็จแล้วมีน้ำหนักมากจริง ๆ  ในขณะทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะเจาะรูฝังพุก ผมต้องใช้กล่องบรรจุเครื่องกรองน้ำรองค้ำไว้

ต้องใช้ระดับน้ำวางไว้ด้านบนด้วย เพื่อคอยปรับชั้นให้ได้ระดับ...


ตั้งได้ที่ดีแล้ว...ผมก็ใช้สว่าน (ดอกเจาะคอนกรีต) เจาะผ่านรูบนไม้อัดเพื่อทำเครื่องหมายบนผนัง จากนั้นก็เอาชั้นไม้ที่หนักอึ้งลง แล้วใช้สว่านดอกเดียวกันเจาะรูบนผนังเพื่อฝังพุก...


เจาะรูครบแล้วก็ฝังพุกลงไป (ใช้ค้อนตอกเพียงเบา ๆ)   


ฝังพุกเรียบร้อยแล้ว นำชั้นกลับขึ้นมาวางตำแหน่งเดิม...


ใช้สกรูขันยึดให้แน่น ก็จะได้ชั้นวางของอย่างที่เห็นในภาพ....


ผมยังไม่ได้ทาสีย้อมไม้ เพราะยังต้องทำอย่างอื่นอีกมากมาย งานนี้รอไว้ก่อนได้ครับ...


เพื่อน ๆ ลองมองหาเศษไม้ที่เก็บ ๆ ไว้ข้างหลังบ้านดู เอามาตัดทำชั้นหรือหิ้งวางของ ก็ช่วยให้คลายเครียดได้เหมือนกันนะ...