นั่งอยู่หน้าคอมพ์ฯ พยายามกู้ไฟล์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้ผมอยากจะเล่าเรื่องสายตาสั้นต่ออ่ะ คราวก่อนเขียนถึงตอนเรียนจบช่างไฟฟ้าปี ๓ ที่เทคนิคภาคพายัพ ผมก็สายตาสั้นเป็นพันแล้ว ต้องสวมแว่นตาหนาเตอะนั่งรถไฟเข้ากรุง เพื่อสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ เป็นการเดินทางกลับบ้านเกิดอีกครั้งหลังจากที่ได้จากไปนานหลายปี ผมไปพักที่บ้านน้าชายที่เคยได้พักอาศัยตอนเรียนชั้น ป. ๑-๒ ที่โรงเรียนประสาทวิทยาอนุชน วันไปสมัครสอบ…ผมนั่งรถเมล์สาย ๔ จากท่าน้ำภาษีเจริญไปลงที่สวนลุมฯ แล้วต่อรถสองแถวเข้าไปที่วิทยาลัย รอบเช้าเค้ารับประมาณ ๗๐ คนมังครับ (ถ้าจำไม่ผิด) แต่มีคนไปสมัครสอบหลายร้อย เรียกว่าจะต้องต่อสู้กันแบบ ๑ ต่อ ๘ ก็ว่าได้ ผมสมัครสอบแล้วกลับบ้าน รายงานให้น้าสะใภ้ฟัง ท่านยังแสดงความเป็นห่วง กลัวว่าผมจะสอบเข้าไม่ได้ แต่เอาเข้าจริง ๆ เมื่อประกาศผลสอบออกมา นักศึกษาหนุ่มสวมแว่นตาคนที่เห็นในภาพกลับสอบเข้าได้…
ภาพนี้ถ่ายที่โรงอาหารวิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ในวันที่ ๑๔ ก.ค. ๒๕๑๒ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาวิทยาลัย ถ้าสังเกตดูแว่นตาที่ผมสวม จะเห็นได้ว่ามันหนามาก! จำได้ว่าแว่นคู่นี้พี่สิทธ์เป็นคนพาไปตัดที่ห้างภิรมย์การแว่น วังบูรพา วันนั้นพอรู้ว่าสายตาตัวเองสั้นพันกว่า ผมถึงกับร้องไห้ด้วยความเสียใจว่าจะเรียนต่อไม่ได้ ดูเหมือนว่าอนาคตข้างหน้าจะสิ้นความหวังซะแล้ว!!! ตอนเรียนปี ๔ ผมต้องสวมแว่นตาติดตา ถอดไม่ได้เพราะมองไม่เห็น
ภาพที่ผมเล่นกีต้าร์บนเวทีหอประชุม วทก. เมื่อวันที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๑๒ นั้นดูไม่จืดเลยครับ หุหุ
ผมเล่น lead guitar เพื่อนที่ยืนเล่น rhythm guitar อยู่ข้างหลังนักร้อง คือ “วิบูลย์ โตทอง” เป็นคนที่ให้ผมยืมพิมพ์ดีดไปพิมพ์ E.E News มันเรียกผมว่า “ไอ้แว่น”
และแล้ววันที่เป็นจุดเปลี่ยนของผมก็มาถึง วันนั้นผมเดินผ่านร้านบุญเท่งแว่นตาซึ่งอยู่แถว ๆ ถนนเจริญกรุง ได้เห็นป้ายวัดสายตาและทำคอนแทคเลนส์ ผมจึงเดินเข้าไปสอบถามและขอวัดสายตาทันที เหตุการณ์นั้นผ่านมา ๔๐ กว่าปีแล้ว แต่ผมก็ยังพอจะจำรูปร่างหน้าตาของคุณหมอและขั้นตอนการตรวจสายตาในวันนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่คุณหมอให้ผมทดลองสวมคอนแทคเลนส์ซึ่งจะมีค่าประมาณ -800 กว่า (ถ้าเป็นใช้คอนแทคเลนส์จะสั้นน้อยกว่าสวมแว่นตา) แล้วบอกให้ผมเดินออกจากห้องวัดสายตาไปยืนมองออกไปยังนอกถนน ไม่ต้องสวมแว่นตาหนัก ๆ เลนส์หนา ๆ ผมมองเห็นได้ชัดแจ๋ว มันเป็นความรู้สึกยินดีอย่างเหลือล้นจนตราตรึงมาถึงวันนี้
สมัยนั้นยังไม่มีคอนแทคเลนส์แบบนิ่ม มีแต่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็งทำด้วยพลาสติก น้ำซึมผ่านไม่ได้ ราคาคู่ละ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งนับว่าแพงมาก ถ้าเทียบกับค่ารถเมล์ ๒ สลึง ผักชีกำละ ๒๕ สตางค์ เกาเหลาชามละ ๓ บาท และอาบอบนวดชั่วโมงละ ๕๐ บาท แม้ว่าคอนเเทคเลนส์จะแพงและมีโอกาสหลุดตกหายได้ง่าย ผมก็ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนไปใช้แทนแว่นตาหนาเตอะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย…
ที่มาของภาพ - อินเทอร์เน็ต |
ผมไม่ต้องสวมแว่นตาแล้ว |
วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๑๓ ไปจัดงานต้อนรับน้องใหม่ที่พัทยา ผมไม่ต้องสวมแว่นตาแล้วเด้อ…
รับน้องใหม่ |
เล่นน้ำทะเลต้องระวังคอนแทคหลุด |
เล่นออร์แกนให้สุเทพร้องเพลง |
ตั้งแต่ใช้คอนแทคเลนส์…ผมก็พยายามไม่ให้มันตกหาย แต่แล้ววันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นจนได้!!!
เดือนมีนาคม ปี ๒๕๑๓ สอบเสร็จ…นักศึกษาอีเล็คทรอนิคส์รุ่นผมก็ได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่จังหวัดเชียงใหม่ ไปเที่ยวว่างั้นเหอะ หนุกหนานมากครับ ผมก็ได้ถือโอกาสกลับบ้านด้วย…
แวะเที่ยวสุโขทัย |
แวะขี่รถม้าที่ลำปาง ไม่นึกเลยว่าบั้นปลายผมจะต้องมาอยู่ที่จังหวัดนี้นานกว่า ๑๐ ปีแล้ว |
เที่ยวดอยสุเทพ |
ในขณะที่ผมกับเพื่อน ๆ กำลังยืนเย้ว ๆ อยู่บนรถซึ่งวิ่งผ่านสี่แยกอุปคุต คอนแทคเลนส์ข้างหนึ่งได้หลุดออกจากดวงตาของผม มันปลิวไปกับสายลม ผมก็ได้แต่เศร้าใจ ความสนุกสนานมลายหายไปภายในพริบตา!!
แล้วค่อยโม้ต่อนะครับ… เรื่องคอนแทคเลนส์ยังมีอีกหลายตอน
No comments:
Post a Comment