Thursday, January 06, 2011

เล่าเรื่องสายตาสั้น - "เขาผ่อบ่อหัน"

คืนวันวานที่ผ่านมาผมทำงานหน้าคอมพ์ฯ ไม่ได้ เพราะตอนเย็นไปพบจักษุแพทย์ ได้รับการหยอดยาขยายม่านตาทั้งสองข้าง ไม่สามารถดู monitor ซึ่งมีแสงจ้าได้ ก็เลยไม่ได้เขียนอะไร!!   วันก่อนเขียนเรื่องหนอนตัวที่คุณแซมบอกว่ามันเป็นหนอนโชคดีที่มีโอกาสได้เข้าไปทัศนาจรในช่องหูคน  จริงด้วยซิ โดยปราศจากความเกียจชัง ผมไว้ชีวิตให้มันได้นำเรื่องราวไปคุยกับเพื่อนหนอนด้วยกัน ไม่บดขยี้ให้แบนบี้ไปกับพื้น hostel  ก็เพราะไม่ใช่ความผิดของมัน!  แต่ถ้าเป็นพวกนักการเมืองหรือใครก็ตามที่โกงกิน ผมเกลียดและขยะแขยงยิ่งกว่าหนอนซะอีก!

กลับมาคุยเรื่องดวงตาของผมดีกว่า คุณหมอพงษ์ศักดิ์ตรวจดวงตาของผมด้วยเครื่องตรวจจอประสาทตาแล้วบอกกับผมว่ายังใช้ได้อยู่ อีก ๖ เดือนค่อยไปตรวจอีกที ผมเสียค่าตรวจแค่ ๑๐๐ บาทเองครับ...

สายตาผมสั้นจากพันธุกรรม คุณแม่สายตาสั้นมาก ผมและพี่ชายก็สายตาสั้นระดับพันกว่าทั้งสองคน ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น (สมัยนั้นจากประถม ๔ ก็เป็นมัธยม ๑ เลย) ครูประจำชั้นมีหนังสือแจ้งให้คุณแม่ทราบว่าผมมีปัญหาเรื่องสายตา แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ครอบครัวคนขายกาแฟมีคุณพ่อเป็นคนหัวโบราณไม่เข้าใจผลอันเกิดจากการมองกระดานดำไม่ชัดของลูกชาย มีแต่คุณแม่ซึ่งคอยเป็นห่วง แต่ก็ยังมิได้ให้ผมได้รับการตรวจวัดสายตาจากจักษุแพทย์  เด็กกะโปโลอย่างผมจึงได้เรียนได้เล่นแบบคนสายตาเสื่อมลงเรื่อย ๆ (ไม่รู้ว่าเรียนผ่านแต่ละชั้นมาได้ยังไง)  แม้ว่าจะอยู่ชั้น ม.ศ.๓ แล้วก็ตาม ผมก็ยังคงไม่ได้สวมแว่นตา จำได้ว่าผมอยู่ห้อง C โต๊ะเดียวกับอนันต์ จันตา (ไอ่แมวน้อย – บ้านอยู่แม่ริม) นั่งอยู่ติดผนังทางด้านขวา ประมาณกลาง ๆ ห้อง ตอนนั้นสายตาคงจะสั้นประมาณ ๗-๘๐๐ ถึงระดับที่อ่านตัวหนังสือตัวเล็กที่ครูเขียนบนกระดานดำไม่ออกแล้วล่ะ  การเรียนผมแย่ลงมากชนิดหัวปริ่มน้ำ โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยซึ่งต้องอ่านที่ครูเขียนบนกระดานดำ ผมเรียนเพียงแค่ขอให้ผ่าน หันไปเล่น ๆๆ  เบิกเงิน ๕๐ บาทจากธนาคารออมสินไปซื้อลูกฟุตบอลเบอร์ ๓ ไปเตะกับเพื่อน ๆ ที่ทุ่งนา ถนนหน้าบ้านป้าเงา สนามโรงเรียนปริ้นซ์

ผมหันไปเล่นกีต้าร์ อย่างที่เห็นในภาพการบรรเลงในวันคริสต์มาสปลายปี ๒๕๐๘ ยังไม่มีแว่นตาใส่!!!
ก่อนจบชั้น ม.ศ.๓ นักเรียนทุกคนก็ตั้งเป้าว่าจะไปเรียนต่อกันที่ไหน ทักษิณบอกว่าจะไปสอบเข้าเตรียมทหาร จักรกฤษณ์ (หนุ่ย) อยากไปอเมริกา ส่วนผมไม่อยากไปไหน นอกจากเทคนิคภาคพายัพ (ตีนดอย)  เพราะได้ข่าวว่ามีเครื่องดนตรีวง shadows ให้เล่น

ตารางสอบเข้าวิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพ ปี ๒๕๐๙

จำได้ว่ามาสเตอร์ประเสริฐ มั่นศิลป์ เปิดสอนพิเศษให้นักเรียนที่จะไปสอบเข้าเรียนต่อสถาบันมีชื่ออย่างเช่น เตรียมอุดม เตรียมทหาร ฯลฯ  ผมก็สมัครเรียนกับเค้าด้วย เราไปเรียนกันที่บ้านมาสเตอร์ ผมไปได้ไม่กี่ครั้งก็เลิกไป เพราะมองไม่เห็นตัวหนังสือบนกระดานดำ

มาถึงวันนี้ ผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าเรียนจบชั้น ม.ศ.๓ ที่โรงเรียนมงฟอร์ตมาได้อย่างไร ดูกระดานดำก็ไม่เห็นชัด ครูชี้ให้ผมลุกขึ้นตอบคำถามบนกระดาน ผมตอบไม่ได้ เพื่อนร่วมชั้นต้องบอกครูว่า “เขาผ่อบ่อหันครับ…”

เนื่องจากผมเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือ ชอบประดิษฐ์ของเล่น ทำกล้องฉายหนัง เลยต้องใช้สายตาหนัก ตาก็ยิ่งสั้นลงทุกที ๆ พอสอบเข้าเรียนต่อที่แผนกช่างไฟฟ้าวิทยาลัยเทคนิคภาคพายัพได้ ผมจำเป็นต้องสวมแว่นตา!  คุณพ่อบอกว่าไม่ต้องใส่แว่นก็ได้มั้ง แต่คุณแม่พาไปวัดสายตาและตัดเเว่นที่ร้านวิมลการแว่น ใกล้สี่แยกอุปคุต ถึงตอนนั้นเลนส์ที่ใช้ก็หนาเตอะแล้ว!!!

เล่นกีต้าร์ที่โรงอาหารวิทยาลัยเทคนิคภาพพายัพ ตอนนั้นสวมแว่นตาแล้ว
ช่วงที่เรียนช่างไฟฟ้า ผมสวมแว่นตาแล้วก็จริง แต่ไม่ได้ใส่ติดตา คงกลัวว่าไม่หล่อมั้ง แว่นกรอบกระใส่เลนส์หนาเตอะอย่างที่ผมใส่ในภาพข้างบน จะสวมก็เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น ขณะฝึกงานผมไม่เคยใส่  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ปฏิบัติงานตั้งเสาไฟฟ้าและเดินสาย เพื่อนซึ่งอยู่บนปลายเสาทำน้อตที่ยึด rack ตกลงพื้นแล้วบอกให้ช่วยเก็บ ผมมองไม่เห็น จำได้ว่ารู้สึกอายเหลือเกิน มันฝังติดอยู่ในใจมาถึงทุกวันนี้…

ตอนอยู่ปี ๑ ผมได้เรียนวิชาฟิสิกส์กับอาจารย์วัฒนาและวิชาเคมีกับอาจารย์หญิงท่านหนึ่ง (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้)  วิชาฟิสิกส์เรียนในห้องเล็ก (อยู่ด้านขวาของอาคารด้านหน้า) กระดานดำอยู่ไม่ไกล ผมสอบได้เกรด A  แต่วิชาเคมีเรียนในห้องปฏิบัติการเคมี เป็นห้องกว้าง นักศึกษาต้องแบ่งเป็นกลุ่ม นั่งตามโต๊ะปฏิบัติงาน ผมมีชื่ออักษร ว. จึงได้นั่งอยู่ห่างจากกระดานดำในระยะไกล มองตัวหนังสือไม่เห็น เจ้าวิชานั่นก็ดันมีแต่อะไรไม่รู้ที่ต้องเขียน ๆๆๆๆ  ตารางแร่ธาตุเอย สูตรและสมการต่าง ๆ เอย ยังจำได้ถึงตอนที่ถูกอาจารย์ถามชื่อสัญลักษณ์ธาตุที่อยู่บนกระดาน ผมตอบไม่ได้เพราะมองไม่เห็น ตอนนั้นไม่ยักมีใครพูดขึ้นว่า “เขาผ่อบ่อหันครับ…”  ในที่สุดวิชาเคมีก็เป็นวิชาแรกและวิชาเดียวในชีวิตที่ผมได้เกรด D

พี่อู๊ดเคยพาไปดูหนัง แล้วเห็นผมสวมแว่นตาเฉพาะตอนอยู่ในโรงหนัง ยังบอกให้ผมใส่แว่นติดตา สายตาจะได้ไม่เสื่อมไว แต่ผมกลับไม่ทำตาม

ผมยิ่งอ่านหนังสือหนักกว่าเดิม เขียนนิตยสารทำเองอ่านเอง ทำสมุดภาพ ต่อเครื่องขยายเสียงให้ตัวเองและเพื่อน (ประสาท เผ่าชัย) ประกอบเครื่องรับวิทยุและเครื่องส่ง จนสายตาเสื่อมลงถึงขั้นที่ถอดแว่นแล้วเห็นเพียงภาพเบลอ ๆ  เวลาไปหาใคร ผมหาไม่เจอ มองไปแล้วไม่รู้ว่าเป็นคนที่ต้องการพบหรือเปล่า!  สายตาตอนนั้นคงสั้นถึงพันแล้วล่ะ…

พออยู่ปี ๓  เริ่มดีขึ้นเมื่อสามารถหาแว่นตาที่เป็นกรอบโลหะได้ คิดว่าใส่แล้วดูดีว่างั้นเหอะ แม้ว่าเลนส์จะหนา ผมก็เลยใส่ติดตามากขึ้น...

ภาพนี้ถ่ายบนดาดฟ้าตึกช่างไฟฟ้า วทพ. หน้าหนาวปี ๒๕๑๑-๑๒

อยู่ปี ๓ แล้ว ได้แว่นตาที่ดูดี ก็เลยใส่ติดตา..
อย่างไรก็ตาม ขณะฝึก ร.ด. ผมก็ไม่ยอมสวมแว่นตา วันหนึ่งนักศึกษา ร.ด. ไปยิงปืนที่สนามยิงปืนหนองฮ่อ จำได้ว่าแต่ละคนจะได้รับลูกปืน ๕ ลูกเพื่อใช้ยิงด้วยปืน ปลยบ. <em>(ปืนเล็กยาวแบบบรรจุเอง)</em> ผมมองไม่เห็นเป้าหรอกครับ ได้แต่เดา ๆ แล้วยิงไปยังงั้น หุหุ ไม่เข้าเป้าเลยแม้แต่นัดเดียว…

เรียน ร.ด. ไม่สวมแว่น ภาพนี้ถ่ายที่สนามยิงปืนหนองฮ่อ
โฮ้ย…สนุก  ถ้าจะให้เล่าเรื่องสายตาสั้นของผม แล้วค่อยเล่าต่อนะครับ

No comments: